fbpx

กลุ่มเครือข่ายสนับสนุนโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพายื่นหนังสือให้ยกเลิกเอ็มโอยู

สำนักงาน ก.พ. 8 มี.ค.-กลุ่มเครือข่ายสนับสนุนโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ยื่นหนังสือถึงนายกฯ ให้ยกเลิกเอ็มโอยูกับกลุ่มเครือข่ายไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ระบุเป็นการขัดขวางการพัฒนาไฟฟ้าในภาคใต้ ปักหลักอยู่หน้า กฟผ.รอคำตอบจากรัฐบาล


กลุ่มเครือข่ายคนเทพาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เดินทางมายังศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล ฝั่งสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เพื่อยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ยกเลิกบันทึกข้อตกลง หรือ เอ็มโอยู ที่นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ลงนามกับกลุ่มเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานี ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน

โดยนายหลี สาเม๊าะ ประธานกลุ่มเครือข่ายคนเทพาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กล่าวว่า เหตุผลที่กลุ่มเครือข่ายฯ สนับสนุนให้เดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา เนื่องจากได้ศึกษาผลดีและผลเสียของการก่อสร้างแล้ว ทั้งจากในและต่างประเทศ พบว่าการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินมีอันตรายจริง แต่ไม่มาก พร้อมมองว่าการก่อสร้างโรงฟ้าถ่านหินจะทำให้คนในพื้นที่ได้รับผลประโยชน์มากกว่า และทำให้คนในพื้นที่มีงานทำ มีความเจริญมากขึ้น ซึ่งการเซ็นต์เอ็มโอยูดังกล่าวจะเป็นการขัดขวางการพัฒนาไฟฟ้าในภาคใต้ ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นการลงนามกับคนเพียงบางกลุ่มที่คัดค้าน แต่ไม่ได้มาสอบถามความเห็นของชาวบ้านเทพา ซึ่งคนในพื้นที่ส่วนใหญ่นั้นให้การสนับสนุน จึงต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลสั่งยกเลิกเอ็มโอยูดังกล่าว โดยไม่จำเป็นต้องทำการศึกษาประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) เพิ่มเติม เพราะไม่ได้อยู่ในข้อบังคับตามกฎหมาย เนื่องจากเห็นว่าการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายแล้ว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มเครือข่ายฯ ได้ยื่นบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อแสดงตัวตนต่อเจ้าหน้าที่ของศูนย์บริการประชาชน และให้สื่อมวลชนได้บันทึกภาพ เพื่อยืนยันว่าเป็นคนในพื้นที่จริง ไม่ใช่ม็อบจัดจ้าง ทั้งนี้หากกลุ่มเครือข่ายฯ ยังไม่ได้รับคำตอบจากรัฐบาล ก็จะขอปักหลักอยู่หน้าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พบศพโบลท์หญิงวัย 47 ในป่าหญ้าริมทาง คาดถูกฆ่าชิงรถ

โบลท์หญิงวัย 47 ปี หายตัวจากบ้านพักย่านดินแดง 9 วัน ล่าสุดพบเป็นศพในป่าหญ้าริมถนนสายนครชัยศรี-ห้วยพลู อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ส่วนรถยนต์โผล่ที่ จ.ภูเก็ต คาดถูกคนร้ายฆ่าชิงรถ

pagers on display

ทำไมยังมีการใช้ “เพจเจอร์” ในยุคสมาร์ทโฟน

ลอนดอน 19 ก.ย.- เพจเจอร์ หรือวิทยุติดตามตัวเป็นอุปกรณ์การสื่อสารยอดนิยมในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 ที่ต้องหลีกทางให้แก่โทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากเป็นการสื่อสารทางเดียว แต่ยังคงมีการใช้งานในบางกลุ่ม รวมถึงกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่เพจเจอร์ระเบิดพร้อมกันหลายพันเครื่องทั่วเลบานอนเมื่อวันที่ 17 กันยายน แหล่งข่าวเผยว่า ฮิซบอลเลาะห์ใช้เพจเจอร์ เนื่องจากเป็นช่องทางสื่อสารเทคโนโลยีต่ำ ส่งข้อความผ่านสัญญาณวิทยุ จึงตรวจจับสัญญาณและตำแหน่งได้ยากกว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ส่งสัญญาณไปยังเสาส่งที่อยู่ใกล้ที่สุด อีกทั้งไม่มีเทคโนโลยีระบุพิกัดบนพื้นโลกอย่างจีพีเอสด้วย อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอ (FBI) ของสหรัฐเผยว่า ในอดีตแก๊งอาชญากรรมโดยเฉพาะแก๊งค้ายาเสพติดในสหรัฐเคยนิยมใช้เพจเจอร์ แต่ขณะนี้หันมาใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงินราคาถูกที่สามารถเปลี่ยนเครื่องและหมายเลขได้อย่างง่ายดาย ทำให้เจ้าหน้าที่ติดตามแกะรอยได้ยาก อย่างไรก็ดี  ศัลยแพทย์โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักรเผยว่า เพจเจอร์เป็นอุปกรณ์ที่แพทย์และพยาบาลสังกัดสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติหรือเอ็นเอชเอส (NHS) ต้องพกติดตัวอยู่เสมอ เพื่อรับแจ้งข่าวในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นช่องทางที่ถูกที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการแจ้งข่าวทางเดียวกับคนจำนวนมาก เพจเจอร์หลายรุ่นสามารถส่งเสียงไซเรนและมีข้อความเสียงแจ้งให้ทีมแพทย์ไปรวมตัวที่ห้องฉุกเฉินได้ทันที ข้อมูลล่าสุดในปี 2562 ระบุว่า เอ็นเอชเอสใช้เพจเจอร์ประมาณ 130,000 เครื่อง คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 10 ของที่ใช้ทั่วโลก คอกนิทีฟมาร์เก็ตรีเสิร์ช  (Cognitive Market Research) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยคาดการณ์ว่า ตลาดเพจเจอร์จะเติบโตร้อยละ 5.9 ต่อปี จากปี 2566 ถึงปี 2573 […]

ข่าวแนะนำ

ร่างศึกษา พ.ร.บ.นิรโทษฯ เข้าสภา 26 ก.ย.นี้

“นิกร” เผยร่างศึกษา พ.ร.บ.นิรโทษฯ เข้าสภา 26 ก.ย.นี้ ชง ครม. เป็นเจ้าภาพ ยกร่าง-เคาะปม ม.112 จะรวมหรือไม่ หวั่นคําวินิจฉัยศาลฟันก้าวไกล พ่นพิษ

คนร้ายฆ่าสาวโบลท์ เครียด ซัดมีอีก 2 คนยังไม่โดนจับ

เครียด! “ไอ้แม็ก” มือฆ่าชิงทรัพย์สาวโบลท์ ใช้หัวโขกลูกกรง สน.มีนบุรี จนตำรวจต้องเข้าระงับเหตุ ซัดมีอีก 2 คนยังไม่โดนจับ ล่าสุดคุมตัวไปฝากขังแล้ว