กรุงเทพฯ 20 ธ.ค. – บล.ทรีนิตี้ ฟันธงหุ้นไทยปีหน้าสถิติสูงสุดใหม่ทะลุ 1,800 จุด แนะลงทุนหุ้นธนาคารพาณิชย์ รับผลดีการบริโภคในประเทศฟื้น และ เลือกตั้งในประเทศ
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยในปี 2561 จะปรับตัวทำสถิติสูงสุดใหม่ เป้าหมายดัชนีที่ระดับ 1,815 จุด แบ่งกรณีปกติเป้าหมายดัชนีหุ้นที่ 1,763 จุด และกรณีสูงสุดที่ 1,864 จุด โดยมีปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะขยายตัวถึงร้อยละ 4 ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อในประเทศยังอยู่ระดับต่ำทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย รวมทั้งคาดว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งเกิดขึ้นช่วงปลายปี 2561 ถึงต้นปี 2562 สร้างความมั่นใจนักลงทุนต่างชาติปรับตัวดีขึ้น โดยประเมินว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเป็นรัฐบาลผสมที่ยอมรับของทุกฝ่าย อีกทั้งโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC เป็นตัวผลักดันเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้าประเทศ ผลักดันการจ้างงานและการบริโภคปรับตัวดีขึ้น และคาดว่าราคาสินค้าเกษตร เช่น ข้าว น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
สำหรับปัจจัยภายนอก ได้แก่ สภาพคล่องระบบการเงินโลกยังอยู่ระดับสูง แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟด จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและลดขนาดงบดุล แต่มองว่าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ธนาคารยุโรปและญี่ปุ่น ยังคงอัดฉีดสภาพคล่องต่อเนื่องอย่างน้อยน่าจะถึงเดือนกันยายนปีหน้า และการที่ดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ ทำให้นักลงทุนสนใจหุ้นเพิ่มขึ้น หนุนให้เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดพัฒนาแล้วมาที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่รวมทั้งตลาดหุ้นไทย เพราะราคาหุ้นยังต่ำกว่าตลาดพัฒนาแล้วถึงร้อยละ 20 ดังนั้นราคาหุ้นในตลาดเกิดใหม่จึงน่าสนใจ โดยจะเห็นความชัดเจนในปลายไตรมาส 1 ปี 2561 หลังจากเห็นความชัดเจนนโยบายของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด และ ความคืบหน้าการเลือกตั้งในประเทศ อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง จากปัญหาภูมิศาสตร์การเมือง ทั้งความขัดแย้งเกาหลีเหนือ ความขัดแย้งที่กรุงเยรูซาเล็ม ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น
นายวิศิษฐ์ ประเมินกลยุทธ์การลงทุนในปี 61 ต้องเลือกลงทุนเป็นรายบริษัทมากขึ้น มีกระแสเงินสดระดับสูง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมน่าสนใจ อาทิ ธนาคารพาณิชย์ จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ และ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล เริ่มส่งสัญญาณชะลอลง คาดกำไรต่อหุ้นจะกลับมาเติบโตร้อยละ 12.7 จากปีนี้ที่หดตัวร้อยละ 2.2 , กลุ่มสื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก การแพทย์ ที่คาดว่าจะโดดเด่นในช่วงเลือกตั้ง เพราะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค.- สำนักข่าวไทย