กทม.13 มี.ค.- “ตรีรัตน์” ลั่นค่าไฟขึ้นแน่ 10 สต. หลัง ”พีระพันธุ์” สั่งเบรกการจัดซื้อถ่านหินสำหรับโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ซัดแรงพร้อมรับผิดชอบไหม หากค่าไฟแพงขึ้น
นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส นักธุรกิจด้านพลังงานสะอาด และอดีตสมาชิกพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงกรณีที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เคยออกคำสั่งเบรกการจัดซื้อจัดจ้างถ่านหินลิกไนท์ เข้าโรงไฟฟ้าแม่เมาะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ว่าจะทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตมีภาระที่สูงขึ้น และอาจกระทบค่าไฟได้ถึง 10 สตางค์ว่า การใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย ประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าจากหลายประเภท ทั้ง แก๊ส โซลาร์ ลม ขยะ ถ่านหินลิกไนต์ เป็นต้น ซึ่งสูตรการคิดค่าขายไฟให้ประชาชน ก็คือการเอาต้นทุนซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเหล่านี้มาเฉลี่ยต้นทุน บวกค่าสายส่ง และค่าบริการของการไฟฟ้าฯ เป็นต้น โดยอัตราค่าซื้อไฟก็แตกต่างกันออกไป เช่น โรงไฟฟ้าแก๊สก็ประมาณ 3 บาทกลางๆต่อหน่วย(ขึ้นอยู่กับต้นทุนแก๊ส) โรงไฟฟ้าโซลาร์ ลม Adder ก็อยู่ประมาณ 8-13 บาท/หน่วย ส่วนถูกที่สุดก็คือโรงไฟฟ้าถ่านหินประมาณ 1.5 บาท/หน่วย ซึ่งปัจจุบันโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตถือว่าเป็นโรงไฟฟ้าที่ต้นทุนการผลิตไฟต่ำที่สุด
นายตรีรัตน์ ระบุอีกว่า หากประเทศไทยทำสัญญาซื้อไฟกับโรงไฟฟ้าที่ต้นทุนถูกมากๆ แน่นอนว่าค่าไฟก็จะถูกลงครับ อย่างเช่นโครงการประมูลโซลาร์ล๊อตใหม่ 3,600 เมกะวัตต์ ก็จะถูกกว่าโครงการโซลาร์แบบมี Adder ล๊อตเก่า เพราะราคาประมูลใหม่นั้น fix ราคาซื้อที่ 2.16 บาท/หน่วย ตลอดอายุสัญญา (ในขณะที่สัญญาเก่า+ค่าแอดเดอร์+FT กลับสูงถึง 8-13บาท/หน่วย) แต่วันนี้ประเทศไทยกำลังเข้าขั้นวิกฤตจากการบริหารงานที่ผิดพลาดอีกครั้งของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
นายตรีรัตน์ ระบุอีกว่า เนื่องจากโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ที่ปัจจุบันมีกำลังผลิตถึง 2,400 เมกะวัตต์ และเป็นโรงไฟฟ้าที่ผลิตไฟได้ถูกที่สุดของประเทศไทย กำลังมีปัญหาด้านการผลิต เพราะนายพีระพันธุ์ไปสั่งคัดค้านการซื้อถ่านหินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ทั้งๆที่มีการประมูลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งทราบต่อมาว่ามี “นายทุนใหญ่” ผู้เสียผลประโยชน์แพ้ประมูลขุดถ่านหิน ไปวิ่งอุทธรณ์ โดยนายพีระพันธุ์ก็รับลูกด้วยความรวดเร็วเสมือนเป็นผู้มีส่วนได้เสียเองจนน่าแปลกใจจนเป็นที่มาของการ เบรก การไฟฟ้าฝ่ายผลิต(กฟผ.)ในการจัดซื้อถ่านหินซึ่งเป็นเชื้อเพลิงเดียวของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ทั้งที่กฟผ.ได้เคยออกมาชี้แจงแล้วว่าการประมูลขุดเหมืองถ่านหินเป็นไปอย่างโปร่งใส
นายตรีรัตน์ ระบุว่าทั้งหมดนี้ส่งผลให้ประชาชนต้องรับกรรมที่ตามมาจากการกระทำของนายพีระพันธุ์ เพราะโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะต้องลดกำลังการผลิตจาก 2,400 เมกะวัตต์เหลือ 1,285 เมกะวัตต์ เนื่องจากถ่านหินในคลังมีไม่เพียงพอ โดย กฟผ.ต้องเปลี่ยนไปเดินโรงไฟฟ้าก๊าซแทน ซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า และยังต้องนำเข้าก๊าซ LNG มาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รัฐต้องแบกต้นทุนที่สูงขึ้นถึงเดือนละ 1,300-1,900 ล้านบาท และอาจมีการปรับค่าไฟขึ้นอีกประมาณ 7-10 สตางค์ ตั้งแต่เดือน เม.ย. 68 เป็นต้นไปและต้องตั้งคำถามว่านายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และเป็นผู้สั่งคัดค้านการรับซื้อถ่านหินเข้าโรงไฟฟ้าแม่เมาะ พร้อมรับผิดชอบลาออกหรือไม่ หากค่าไฟมีการปรับขึ้น .319.-สำนักข่าวไทย