กรุงเทพฯ 26 ก.พ. – สศช. เตือน Gen Z ใช้สมาร์ทโฟนทั้งวันมีผลต่อสุขภาพจิต แนะรัฐบาลถอดบทเรียนทั่วโลกเริ่มคุมเข้มเด็กใช้มือถือ
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า บทเรียนจากต่างประเทศ Gen Z ถือเป็นกลุ่มเติบโตมาพร้อมกับการพัฒนาของเทคโนโลยี ผลสำรวจในไตรมาส 3 ของปี 2567 พบว่า Gen Z ร้อยละ 99.1 ใช้มือถือสมาร์ทโฟน และร้อยละ 99.0 ใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงกว่าทุกกลุ่มอายุ ทำให้ Gen Z มีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางลบจากโซเชียลมีเดียมากกว่ากลุ่มวัยอื่น โดยส่งผลต่อ Gen Z ใน 4 ด้าน คือ 1) การกีดกันการสร้างสังคมในชีวิตจริง 2) การกีดกันช่วงเวลานอนทั้งปริมาณและคุณภาพ 3) การทำให้เสียสมาธิ และ 4) การทำให้เสพติดโซเชียลมีเดีย
หลายประเทศทั่วโลกเล็งเห็นถึงความสำคัญกับปัญหาสุขภาพจิตจากการใช้โซเชียลมีเดียของ Gen Z จึงออกมาตรการในการจัดการ อาทิ 1) การจำกัดอายุ เช่น ประเทศออสเตรเลียผ่านร่างกฎหมาย Social Media Minimum Age Bill 2024 กำหนดอายุขั้นต่ำในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ไว้ที่ 16 ปี 2) การควบคุมเนื้อหา เช่น ประเทศอังกฤษ มีกฎหมาย The Online Safety Act 2023 กำหนดให้แพลตฟอร์มต่าง ๆ ต้องดำเนินการป้องกันและจัดการกับเนื้อหาที่เป็นอันตราย

3) การจำกัดระยะเวลาใช้งาน เช่น ประเทศจีนออกแนวปฏิบัติกำหนดให้เด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปี สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง ขณะที่เด็กอายุ 16 – 18 ปี ใช้ได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน และ 4) การเพิ่มความปลอดภัยบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา มีร่างกฎหมาย California Age – Appropriate Design Code Act (CAADCA) ที่มีเป้าหมายเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของเด็กและเยาวชนที่ใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์
สำหรับประเทศไทยอาจนำแนวทางกรณีของต่างประเทศมาปรับใช้ได้ตามบริบท เพื่อป้องกัน และควบคุมเพื่อลดผลเสียของการใช้มือถือ และอินเทอร์เน็ตของกลุ่มเด็กและเยาวชนร่วมกัน โดยเฉพาะด้านจริยธรรมในการใช้โซเชียลมีเดียในการเคารพสิทธิของผู้อื่น รวมไปถึงการใช้โซเชียลมีเดียที่สร้างสรรค์ การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลจากภัยไซเบอร์ที่ไม่รู้ตัว การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล เป็นจุดเริ่มต้นของการก่ออาชญากรรม และสร้างความเสียหายต่าง ๆ ในปี 2023 การรั่วไหลของข้อมูลสามารถสร้างความเสียหายถึง 16.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อหนึ่งบริษัท และคาดว่าในปี 2024 มูลค่า ความเสียหายจะสูงถึง 17.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับประเทศไทย แม้จะไม่พบความเสียหายที่ชัดเจน แต่ในช่วงปี 2564 – 2567 มีสถิติการคุกคามทางไซเบอร์จำนวน 2,135 ครั้ง มีข้อมูลรั่วไหลมากกว่า 26,000 ล้านรายการ ผ่านหลายช่องทาง อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหล ดังนี้ 1) คนไทยบางส่วนยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลส่วนบุคคลอย่างแท้จริง โดยคนไทยร้อยละ 60 ยินยอมให้บริษัทเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิพิเศษ ส่วนลดสินค้า หรือของสมนาคุณ 2) ภาครัฐและเอกชนของไทยยังขาดแนวทางรองรับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ชัดเจน โดยหน่วยงานรัฐร้อยละ 75 ไม่มีแผนสำหรับรองรับการคุกคามทางไซเบอร์ ส่วนภาคเอกชนโดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ร้อยละ 67 เคยถูกโจมตีทางไซเบอร์. -515- สำนักข่าวไทย