ดีเอสไอ 3 ก.พ.- นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้าพบ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม เพื่อมอบหลักฐานและให้ข้อมูลดีเอสไอ หลังรับเป็นเลขสืบสวนที่ 20/2568
นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกหมายเรียกตนให้มาเป็นพยาน จากกรณีที่เคยร่วมหาพยานหลักฐานในช่วง 30 วันแรกหลังการเสียชีวิตของ “แตงโม” เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ว่ามีจุดใดบ้างที่น่าสังเกต หรือสงสัยว่าเป็นการฆาตกรรมอำพราง ซึ่งเคยถูกคนบนเรือฟ้องมาแล้วในการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวสันนิษฐานว่าเป็นฆาตกรรมแต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นใครและศาลก็ยกฟ้องไปแล้ว รวมถึงขณะนั้นดีเอสไอไม่มีอำนาจการสืบสวนและเป็นหน้าที่ของตำรวจ แต่ช่วงที่ผ่านมาตนก็อยู่กับคุณแม่แตงโมมาตลอด กระทั่งดีเอสไอรับเป็นเลขสืบสวนจึงเรียกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงขอพยานหลักฐานเท่าที่มี เพื่อนำไปตั้งเรื่องใหม่ เรื่องการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ม.157 ไม่เกี่ยวกับคดีเก่า
นายมงคลกิตติ์ กล่าวอีกว่า วันนี้นำหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดทั้งหมด 34 จุด ที่จะมอบให้ดีเอสไอ โดยเฉพาะกล้องจากร้านกระแชงมอญ ที่เห็นชัดว่ามีเจ็ตสกี 4 ลำ ขับนำหน้าเรือสปีดโบ๊ท ดังนั้นจะต้องมาตรวจสอบตำแหน่ง GPS มือถือแตงโม กับ GPS เจ็ตสกีทั้งหมดว่าไปด้วยกันหรือไม่ หากไปด้วยกันก็คงเป็นประเด็นเรียกมาให้ข้อมูล
นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า ส่วนกล้องวงจรปิดอีกจุดที่น่าสนใจ และยังไม่เคยถูกนำเข้าไปในสำนวนแรก ซึ่งก็น่าจะถือได้ว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ ก็คือกล้องวงจรปิดใต้สะพานซังฮี้ เวลา 22.11 น. จับภาพมีบุคคล 5 คน ชัดเจนว่าไม่เห็นคนอยู่ท้ายเรือ ต่างกับที่ตำรวจนำกล้องวงจรปิดสะพานมาบอกว่ามีคนนั่งอยู่ท้ายเรือ และเวลาในกล้องของตำรวจ ยังคลาดเคลื่อนกับกล้องที่ตนเองได้มา ณ จุดเดียวกันด้วย
นายมงคลกิตติ์ กล่าวอีกว่า เมื่อรวมกับประจักษ์พยานหลักฐานใหม่ จากการจำลองเหตุการณ์ตกท้ายเรือครั้งล่าสุด ก็ชัดเจนแล้วว่าตกอย่างไรก็ไม่โดนใบพัดเรือ ไม่สามารถทำให้เกิดบาดแผลถูกใบพัดเรือที่ขาได้ แม้คนบนเรือจะบอกว่าแตงโมเกาะเรืออยู่ 10 วินาที ความเร็วเรือขนาดนั้นจะทำให้ตัวของแตงโมเอียง 30 องศา ไปกับผิวน้ำตามความแรงเรือ ซึ่งก็จะไม่โดนใบพัดเรืออยู่ดี ทางเดียวที่จะโดนใบพัดเรือได้ คือการจอดเรืออยู่กับที่ ติดเครื่องให้ใบพัดเรือหมุน แล้วถ่างขาแตงโมคร่อมใบพัดเรือ
นอกจากนี้ยังมีประเด็นต้องสงสัยเรื่องมือถือแตงโมที่ถูกปิดไป 3 ชั่วโมงไม่ปกติ เพราะคนบนเรือน่าจะมีพาวเวอร์แบงค์ และมือถือคนอื่นก็ไม่ได้แบตหมด และการที่จะทำให้คนใดคนหนึ่งปิดมือถือ เปิดโหมดเครื่องบิน และมือถือไม่ได้อยู่กับตัวเจ้าของ มีสถานการณ์เดียวเท่านั้นคือการไปพบผู้ใหญ่ ที่กลัวถูกแอบถ่ายหรือบันทึกเสียง ซึ่งพฤติกรรมการพาไปเจอผู้ใหญ่มีมานานแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะไม่ฆ่ากัน หากไม่ยอมก็เพียงไม่พูดคุย ดังนั้นจึงต้องทำให้เกิดความชัดเจนว่าในช่วงเวลาที่หายไป 3 ชั่วโมง มือถือแตงโมอยู่ที่ใด ซึ่งตนเองทราบว่าดาวเทียมฝั่งยุโรปน่าจะมีเทคโนโลยีให้สามารถจับตำแหน่งมือถือแตงโมได้จากแอปฯ ธนาคาร
นายมงคลกิตติ์ บอกด้วยว่า ตนเองก็ไม่แน่ใจว่าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนชุดเดิมปฏิบัติหน้าที่ชอบหรือไม่ชอบ ผิดหรือไม่ผิด เพราะก็ทำตามอำนาจหน้าที่ภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนด มิฉะนั้นจะสั่งฟ้องผู้ต้องหาไม่ทัน ซึ่งก็มีกฎหมายคุ้มครองอยู่ แต่ส่วนตัวยังตั้งปมมุ่งเน้นไปที่เรื่องฆาตกรรม เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครทำ แต่เชื่อว่าดีเอสไอน่าจะทำให้คดีนี้กระจ่างได้ภายในปีนี้ และคิดว่ามีโอกาสสูง ถ้าหลักฐานพยานต่างๆ ไปถึง ก็น่าจะรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ และอาจนำไปสู่การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
สำหรับอุปสรรคการสู้คดีในปัจจุบัน ถ้าสู้กับคนมีเงิน คนมีเงินมีเส้นสาย ย่อมมีอิทธิพลต่อการทำสำนวนค่อนข้างสูง สามารถจ้างพยานเท็จได้ หรือจ้างพยานให้กลับคำให้การได้ และยังจ้างผู้เสียหายให้ถอนคดีได้ และหากยิ่งมีอำนาจทางการเมืองด้วยก็ยิ่งไปกันใหญ่ ดังนั้นตอนนี้คงต้องหวังพึ่งดีเอสไอ
ล่าสุด พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยภายหลังนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เข้าให้ปากคำในฐานะพยาน ในคดีการเสียชีวิตปริศนาของ “แตงโม นิดา” ว่า เบื้องต้นยังอยู่ระหว่างกระบวนการเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าให้ถ้อยคำ ซึ่งมีประมาณ 20 ปาก ในจำนวนนี้ก็มีคนดังอย่าง “หนุ่ม กรรชัย” “นายเอกพันธ์-บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” และ “พ.ต.ต.ปวิณวิช รอดบางยาง” ซึ่งจะทยอยนัดหมายให้มาพบภายในเดือน ก.พ. นอกจากนี้ ในวันที่ 17-19 ก.พ. ดีเอสไอจะลงพื้นที่ทดสอบล่องเรือเก็บข้อมูลตามเส้นทางเดินเรือจริงที่ปรากฎตามจีพีเอส (GPS) และจะนำเครื่องจีพีเอส และเครื่องโซนาร์หาวัตถุใต้น้ำ ไปเก็บข้อมูลความลึกและความผิดปกติต่าง ๆ ใต้น้ำด้วย
ขณะที่นายมงคลกิตติ์ เผยว่า ในวันที่ดีเอสไอจะลงพื้นที่ ตนเองจะสนับสนุนด้วยการส่งโดรนสำรวจใต้ท้องทะเลไปช่วยสำรวจใต้แม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร ตั้งแต่ท่าเรือพิบูลย์สงครามถึงวัดค้างคาว ว่ามีอะไรที่พอจะเป็นพยานหลักฐานในคดีเพิ่มเติมหรือไม่ ดังนั้น ขอฝากประชาชนที่อยู่บริเวณดังกล่าวที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วยติดกล้องวงจรปิด จับตาไม่ให้มีคนลงดำใต้น้ำในช่วงนี้ เพราะอาจเป็นการพยานหลักฐานในอนาคต พร้อมตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ช่วงคืนวันเกิดเหตุหลังแตงโมหายตัวไป นักประดาน้ำลงพื้นที่งมหาใต้แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณดังกล่าวร่วม 30 ชั่วโมง แต่ก็ไม่เจอร่างของแตงโม ตนเองจึงสันนิษฐานว่าในเวลาดังกล่าว ร่างแตงโมไม่ได้อยู่บริเวณนั้น แต่เพิ่งมาเมื่อเช้ามืดวันที่ 26 ก.พ.67 ส่วนตัวเชื่อว่าแตงโมมีโอกาสสูงที่จะถูกจับถ่วงน้ำด้วยหินปูน และเอาเชือกมัดไว้ใต้แม่น้ำเจ้าพระยา.-119-สำนักข่าวไทย