กรุงเทพฯ 31 ก.ค. – สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) มิถุนายน 2567 อยู่ที่ระดับ 96.08 หดตัวร้อยละ 1.71 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนภาคอุตสาหกรรมไทยยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง หลังขาดกำลังซื้อภายในประเทศ ปัญหาหนี้ครัวเรือน และอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง ด้านระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกรกฎาคม “ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง”
นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ภาคการผลิตของไทยยังคงหดตัว ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) มิถุนายน 2567 อยู่ที่ระดับ 96.08 หดตัวร้อยละ 1.71 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 58.41 เนื่องจากปัญหาขาดกำลังซื้อภายในประเทศ หนี้ครัวเรือน และอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต รวมถึงสินค้านำเข้าจากต่างประเทศทะลักเข้าไทย
ทั้งนี้ การหดตัวของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายน 2567 ส่งผลให้ไตรมาสที่ 2 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เฉลี่ยอยู่ที่ 94.74 หดตัวเฉลี่ยร้อยละ 0.27 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรกที่หดตัวร้อยละ 3.58 และอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 57.79 ในขณะที่ภาพรวม 6 เดือนแรกปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 97.83 หดตัวเฉลี่ยร้อยละ 2.01 และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 59.11 สะท้อนให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมไทยยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง ด้านระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือนกรกฎาคม 2567 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง” โดยปัจจัยภายในประเทศส่งสัญญาณเฝ้าระวังทั้งหมด ความเชื่อมั่นและการลงทุนหดตัวลง เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ซบเซา ส่งผลต่อการบริโภคและการค้าในประเทศ ในขณะที่ปัจจัยต่างประเทศส่งสัญญาณปกติเบื้องต้น โดยภาคการผลิตของสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวในระยะนี้
“สำหรับประเด็นที่สหรัฐฯ ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในสินค้าหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ประมาณร้อยละ 25 ถึง 100 คิดเป็นมูลค่า 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 660,000 ล้านบาท ซึ่งพุ่งเป้าไปที่สินค้าอุตสาหกรรมที่นับเป็นกลุ่มยุทธศาสตร์ของจีนทั้งพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีใหม่ โดยสินค้าส่วนใหญ่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ โดยสหรัฐฯ ได้ให้เหตุผลว่าต้องการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ จากความกังวลต่อสินค้าจีนที่อาจทะลักสู่ตลาดสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคา อีกทั้ง ยังเป็นการสกัดกั้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของจีน ซึ่งประเด็นการขึ้นภาษีดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลกในหลายมิติ โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุน และภาคอุตสาหกรรมโลก ผู้ประกอบการไทยควรเตรียมความพร้อมในการขยายการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ทดแทนจีน โดยเฉพาะเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ ขณะเดียวกันหากถูกเลือกเป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ของจีน จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง และนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงต้องมีการปรับสมดุลการนำเข้าสินค้าไม่ให้นำเข้าจากจีนมากจนเกินไป โดยปรับเพิ่มภาษีนำเข้า หากสินค้าที่นำเข้ามีราคาต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ” นางวรวรรณ กล่าว.-517-สำนักข่าวไทย