ทำเนียบฯ 24 ก.ค.- รัฐบาลเปิดลงทะเบียน เติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet 1 ส.ค.-15 ก.ย. ผ่านแอป “ทางรัฐ” สร้างพายุหมุนเศรษฐกิจ มั่นใจเริ่มใช้เงินปลายปีแน่นอน เตือนระวังแอปหลอกลวง ร้านค้าลงทะเบียน 1 ต.ค. 67
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจเป็น เวลามายาวนานนับ 10 ปี ภาระหนี้ครัวเรือนขยับสูงขึ้นต่อเนื่องสูงถึงร้อยละ 90 ของจีดีพี หรือประมาณ 16.7 ล้านล้านบาท ภาคธุรกิจยอดขายลดลง ขาดสภาพคล่อง หนี้สินมากกว่ารายได้ รัฐบาลจึงต้องใช้ โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เพื่อเติมกำลังซื้อให้กับประชาชน ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ คาดการณ์จีดีพีเติบโตร้อยละ 2.4 ในปี 67 ยอมรับว่าในช่วงมีปัญหาต้องกู้เงินเพื่อดูแลประชาชน โดยรัฐบาลแบกรับภาระสูงขึ้น ทำให้หนี้สาธารณะขยับเพิ่มเข้าใกล้กรอบเพดานร้อยละ 70 ของจีพีดี จากยอดหนี้ 12 ล้านล้านบาท อาจเพิ่มเป็น 14 ล้านล้านบาท
“การเติมเงินดิจิทัล สู่บัญชีของประชาชน เพราะทุกคน จำเป็นต้องมี ”กระเป๋าตังอิเล็กทรอนิกส์“ ของสังคมยุคใหม่ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจขณะนี้ ต้องยอมแลก ให้มีภาระหนี้รัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น เพื่อเติมกำลังซื้อให้กับประชาชนผู้บริโภค ทั้ง 878 อำเภอทั่วประเทศ รัฐบาลได้พิจารณากฎหมายหลายด้าน ให้สอดคล้องข้อกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมนำความเห็นหน่วยงานต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบและรัดกุม” นายพิชัย กล่าว
Digital Wallet ยังสนับสนุนการใช้นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล หวังก่อให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ 4 ลูก ได้แก่ พายุหมุนลูกที่ 1 การใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าขนาดเล็ก ถือเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจไปยังฐานราก กระจายไปพร้อมกันทุกอำเภอทั่วประเทศ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ลดภาระค่าใช้จ่ายแก่ประชาชน พายุหมุนลูกที่ 2 การใช้จ่ายระหว่างร้านค้าขนาดเล็กกับร้านค้าขนาดใหญ่ และพายุหมุนลูกที่ 3 การใช้จ่ายระหว่างร้านค้าขนาดใหญ่กับร้านค้าขนาดใหญ่ ทำให้เกิดการต่อยอดกำลังซื้อ การบริโภค การจ้างงาน แรงงานมีกำลังซื้อ พายุหมุนลูกที่ 4 พลังการใช้จ่ายของประชาชนแต่ละคนจะเกิดผลต่อการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นทวีคูณหลายรอบ
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ยืนยันแหล่งเงินรองรับการใช้จ่ายไม่มีปัญหา ไม่ผิดกฎหมาย ขณะนี้กระบวนการในสภา ทั้ง สส.และสว เพิ่งแต่งตั้งขึ้นใหม่ ยังเดินไปตามขั้นตอน มาจากแหล่งเงินในงบปี 67 วงเงิน 165,000 ล้านบาท การใช้งบประมาณปี 68 วงเงิน 285,000 ล้านบาท ยืนยันร้านค้าเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ไม่ได้ส่งข้อมูลไปยังกรมสรรพากรเพื่อจัดเก็บภาษี รัฐบาล จึงเปิดให้ประชาชนที่สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ในระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม ถึง 15 กันยายน 2567 เปิดให้เริ่มใช้จ่าย ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567
รัฐบาลกำหนดคุณสมบัติประชาชน เข้าร่วมโครงการ ดังนี้
- ประชากรที่มีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน
- สัญชาติไทย
- มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ปิดรับลงทะเบียน (15 กันยายน 2567)
- ไม่เป็นผู้มีรายได้เกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566
- ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันเกิน 500,000 บาท โดยตรวจสอบข้อมูลเงินฝาก 6 ประเภท ได้แก่ (1) เงินฝากกระแสรายวัน (2) เงินฝากออมทรัพย์ (3) เงินฝากประจำ (4) บัตรเงินฝาก (5) ใบรับเงินฝาก และ (6) ผลิตภัณฑ์เงินฝากในชื่อเรียกอื่นใดที่มีลักษณะเดียวกับข้อ (1) – (5)
เงินฝากในรูปสกุลเงินบาทเท่านั้น และไม่รวมถึงเงินฝากในบัญชีร่วม และเป็นเงินฝาก ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 - ไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ
- ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการ/โครงการอื่น ๆ ของรัฐ
- ไม่เป็นผู้ฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการ/โครงการอื่น ๆ ของรัฐ
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลกำหนดการเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปลงทะเบียน ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม – 15 กันยายน 2567 จะดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” บนสมาร์ตโฟน โดยไม่จำกัดจำนวนประชาชนเข้าร่วมใช้สิทธิ์ ลงทะเบียนได้ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนของวันที่ 31 ก.ค.67 ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะลงทะเบียนผ่านออนไลน์ ”แอปทางรัฐ“ เพื่อลดความแออัด จึงอยากให้ ประชาชนทำการยืนยันตัวตนล่วงหน้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ได้โดยตรงจากแอปพลิเคชัน “App Store” สำหรับระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) และแอปพลิเคชัน “Google Play” สำหรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) บนโทรศัพท์สมาร์ตโฟน ตั้งเป้าหมายผู้ลงทะเบียน 45 – 50 ล้านคน “แอปทางรัฐ“ ไม่มีส่งคลิบลิงค์ ไม่มีส่งต่อ อย่างหลงเชื่อมหลอกลวงไซเบอร์ ขณะนี้ตำรวจไซเบอร์ ติดตามดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
สำหรับการลงทะเบียนประชาชนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ตโฟน กำลังเตรียมการให้เข้าร่วมโครงการฯ ในช่วงต่อไป โดยจะให้มีการลงทะเบียนและยืนยันตัวตนผ่านช่องทางที่กำหนด (ระหว่างวันที่ 16 กันยายน – 15 ตุลาคม 2567) โดยต้อง ตรวจสอบคุณสมบัติ สถานะบุคคล และที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน เช่นเดียวกับกลุ่มผู้มีสมาร์ตโฟน สำหรับส่วนของการใช้จ่ายนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ใช้สิทธิผ่านบัตรประจำตัวประชาชน แต่การใช้สิทธิซื้อสินค้าจากร้านค้าจะทำได้ในวงแคบกว่าการใช้สิทธิของประชาชนกลุ่มที่มีสมาร์ตโฟน ดังนั้น การลงทะเบียนผ่านสมาร์ตโฟน จึงใช้งานได้สะดวกกว่า จึงแนะนำให้พยายามลงทะเบียนผ่านทางสมาร์ตโฟนก่อนเป็นอันดับแรก
สำหรับการลงทะเบียนร้านค้า 2 ล้านราย สนใจเข้าร่วมโครงการ ทั้งร้านค้าขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร้านธงฟ้า แผงลอย สหกรณ์ ในเบื้องต้นกำหนดไว้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เตรียมแถลงข่าวเพิ่มเติมเพื่อแจ้งเกี่ยวกับคุณสมบัติของร้านค้า ช่องทางและวิธีการสมัครเข้าร่วมโครงการฯ และเงื่อนไขอื่น ๆ ให้ทราบต่อไป เริ่มใช้จ่าย ภายในไตรมาส 4 ของปี 2567 กำหนดเงื่อนไขการใช้จ่าย 2 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. การใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้า : ประชาชนจะสามารถใช้จ่ายได้กับร้านค้าขนาดเล็ก รวมถึงร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก โดยไม่รวมห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก-ค้าส่งสินค้าขนาดใหญ่ระดับประเทศและระดับท้องถิ่น
ในการซื้อสินค้า หากประชาชนมีที่อยู่ตามทะเบียนบ้านในอำเภอใด ก็ต้องซื้อสินค้าจากร้านค้าในอำเภอเดียวกันเท่านั้น และต้องซื้อขายแบบพบหน้า (Face to Face) โดยซื้อขายแบบพบหน้านี้ เพื่อให้ตรวจสอบ (1) ที่อยู่ของร้านค้าตามที่ลงทะเบียนโครงการฯ (2) ที่อยู่ของประชาชนตามทะเบียนบ้านในขณะที่ลงทะเบียนโครงการฯ และ (3) พิกัดที่อยู่ของประชาชนในขณะที่ใช้จ่ายกับร้านค้าต้องอยู่ในเขตอำเภอเดียวกัน การชำระเงินจึงจะสมบูรณ์ 2.การใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า : ร้านค้าทุกประเภทสามารถซื้อขายสินค้าระหว่างกันได้ และไม่มีการกำหนดเงื่อนไขว่าต้องเป็นการซื้อขายแบบพบหน้า (Face to Face) จึงซื้อขายสินค้าระหว่างกันได้แม้จะอยู่ต่างพื้นที่
สำหรับประเภทสินค้า: สินค้าทุกประเภทสามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้ ยกเว้นสินค้า Negative List ได้แก่ สลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม ผลิตภัณฑ์กัญชาและกระท่อม บัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณี น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องมือสื่อสาร อย่างไรก็ดี กระทรวงพาณิชย์อาจพิจารณาแก้ไขปรับปรุงรายการสินค้า Negative List เพิ่มเติมได้ ทั้งนี้ การใช้จ่ายภายใต้โครงการฯ จะไม่รวมถึงบริการต่าง ๆ
ประชาชนที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเตรียมการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่เว็บไซต์ www.digitalwallet.go.th หรือพิมพ์เป็นภาษาไทยว่า www.กระเป๋าเงินดิจิทัล.รัฐบาล.ไทย หรือสามารถสอบถามผ่านศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Call Center) สายด่วน โทร. 1111 พร้อมให้บริการและคำแนะนำปรึกษาแก่ประชาชนแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.-515 สำนักข่าวไทย