กรุงเทพฯ 20 มิ.ย. – KSL เสนอไอเดีย รัฐควรปรับร่างแผนไฟฟ้า PDP2024 ลดค่าไฟฟ้า –รับซื้อไฟฟ้าจากชีวมวลเพิ่ม เพื่อเกษตรกรไทยได้ประโยชน์ คาดรายได้ปีนี้ใกล้เคียงปีที่แล้ว แม้ราคาน้ำตาลโลกพุ่งแต่ผลกระทบภัยแล้งได้อ้อยเข้าหีบน้อยลง
นายชลัช ชินธรรมมิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL เปิดเผยกล่าว ถึงแผนพัฒนากำลังไฟฟ้าหรือพีดีพีฉบับใหม่ ร่างแผน PDP2024 ควรดูเรื่องการลดค่าไฟฟ้า เพื่อสร้างขีดความสามารถการแข่งขัน ของประเทศ และน่าจะพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากชีวมวลเพิ่มเกษตรกรไทยจะได้ประโยชน์จากการขายวัตถุดิบ โดยโรงไฟฟ้าจากโรงงานน้ำตาลก็พร้อมจะนำค่าซื้อไฟฟ้าไปจัดสรรให้เกษตรกรเพิ่ม
“ร่างแผน PDP2024 พบว่ามีการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนจำนวนมากสัดส่วน 51% แต่จะเน้นการรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์เป็นหลัก ซึ่งต้องการให้ภาครัฐส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลเพิ่มขึ้น หากในอนาคตภาครัฐต้องการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงงานน้ำตาล ซึ่งมีไฟเหลืออยู่แล้วและมีต้นทุนต่ำ โดยให้โรงงานขายไฟเข้าระบบแล้วกำหนดให้โรงงานต้องจ่ายเงินกองทุนฯให้ชาวไร่ด้วย” นายชลัช กล่าว
ส่วนการขยายโรงงานในต่างประเทศ ปัจจุบันกลุ่ม KSL มีการลงทุนแล้วใน สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งโรงงานที่ลาว ยังมีกำไรประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี แต่โรงงานที่กัมพูชา ขณะนี้หยุดเดินเครื่อง และบันทึกเป็นด้อยค่า ดังนั้นบริษัทจึงมีแผนที่จะขายโรงงานที่กัมพูชาออกไป ใขณะที่บริษัทมองการเติบโตในปี 2568 หลังจากโรงงานน้ำตาลที่สระแก้ว กำลังการผลิต 20,000 ตันต่อวัน หรือกำลังการผลิตสูงสุด 1.2 ล้านตันอ้อยต่อปี จะเดินเครื่องในเดือน ธ.ค.2567 พร้อมๆกับการขยายการผลิตไฟฟ้าชีวมวล มีไฟฟ้าส่วนที่เหลือใช้ ประมาณ 40-50 เมกะวัตต์ โดยจากโรงงานใหม่นี้ ส่งผลให้งวดปี 2567/2568 จะมีปริมาณหีบอ้อยเพิ่มขึ้น 10-15% มาอยู่ที่ 6.5 ล้านตันอ้อย ประกอบกับคาดว่าราคาน้ำตาลยังทรงตัวหรือลดลงเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปีก่อน คาดเฉลี่ยทั้งปี 2568 อยู่ที่ 20-21 เซนต์สหรัฐต่อปอนด์ จะช่วยหนุนรายได้ปี 2568 เติบโตขึ้น
ส่วนภาพรวมรายได้ปีนี้ ยังคงเป็นไปตามเป้าที่คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อน ที่มีรายได้รวม 18,695 ล้านบาท แม้ว่าในปีนี้จะมีปริมาณอ้อยเข้าหีบลดลงมาอยู่ที่ 5.43 ล้านตันอ้อย แต่บริษัทยังได้รับผลดีจากราคาขายน้ำตาลที่ปรับตัวดีขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน คาดเฉลี่ยทั้งปีนี้อยู่ที่ 22-23 เซนต์ต่อปอนด์ โดยราคาน้ำตาลทรายดิบตลาดโลกปีนี้เคยขึ้นไปสูงถึง 25-26 เซนต์ต่อปอนด์เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา นับว่าเป็นราคาที่สูงสุดในรอบ 12 ปี ส่วนปริมาณการผลิตน้อยกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากผลกระทบภัยแล้งก็ทำให้ปริมาณอ้อยทั่วประเทศลดน้อยลง ส่วนยอดขายน้ำตาลทรายในประเทศยังขยายตัวเป็นผลจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นและการบริโภคของคนไทยก็ยังเติบโต
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ KSL ยังคงมาจากธุรกิจน้ำตาลเป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วน 70-80% ส่วนธุรกิจไฟฟ้าประมาณ 15% และส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจอื่นๆ เช่น การถือหุ้นในบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI ที่ปัจจุบันมีกำไรเติบโตขึ้น จากยอดขายไบโอดีเซลและเอทานอลที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากบางจากฯ ควบรวมเอสโซ่ และในปี 2568 BBGI จะบันทึกกำไรเพิ่มขึ้นจากโครงการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) ที่จะเริ่มผลิตในเดือน พ.ค.2568
สำหรับการเติบโตของ KSL ในอีก 5 ปีข้างหน้า แบ่งเป็น ในประเทศไทย คาดว่าจะยังมีการขยายโรงงานน้ำตาลเพิ่มขึ้น รวมทั้งการต่อยอดธุรกิจใหม่ โดยปี 66 KSL ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ คือน้ำตาลแบรนด์ Kane’s (เคนส์) เป็นน้ำตาลทรายจากอ้อยธรรมชาติที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low GI) จะเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ทางเลือกใหม่เพื่อคนรักสุขภาพที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เน้นจับกลุ่มผู้บริโภครักสุขภาพ และกลุ่มคนที่มีโรคประจำตัวร้านขนม หรือ SME ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับค่อนข้างดี.-511- สำนักข่าวไทย