ศาลฎีกา 4 มี.ค.-ศาลฎีกานักการเมือง มีมติเอกฉันท์ยกฟ้องคดีโรดโชว์ จากการไต่สวนพยานหลักฐาน ไม่มีพฤติการณ์ละเว้นปฏิบัติหน้าที่-ทุจริตต่อหน้าที่-เอื้อประโยชน์ให้เอกชน โดยการใช้วิธีพิเศษในการจ้างเอกชน พร้อมสั่งเพิกถอนหมายจับอดีตนายกฯ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 พิพากษายกฟ้องคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกรวม 6 คน ประกอบไปด้วย นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) , บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และ นายระวิ โหลทอง และสั่งเพิกถอนหมายจับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ความผิดเกี่ยวกับการเสนอโครงการโรดโชว์ ที่ไม่ใช่กรณีเร่งด่วน ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ใช้ดุลยพินิจบิดผันสั่งอนุมัติงบกลาง มีเจตนาร่วมกันในการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษอันเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ และยังมีการร่วมกันดำเนินการเพื่อให้คณะรัฐมนตรีมีมติยกเว้นการลงนามในสัญญาก่อนได้รับเงินประจำงวดทั้งที่ไม่ได้เข้าเงื่อนไข เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จำนวนเงิน 239,700,000 บาท
โดยศาลชี้ว่าจำเลยที่ 1-3 ไม่มีมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และ 157 และไม่มีความผิดตามกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. ปี 2561 มาตรา 192 และมาตรา 123 /1 รวมถึงไม่มีความผิดเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ ปี 2542 มาตรา 12 และ 13 ไม่ปรากฏว่ามีการคบคิดกัน ฉ้อฉลหรือไม่สุจริต หรือมีผู้ใดสั่งการ หรือแทรกแซงการกำหนดราคากลางและคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ และเมื่อทราบเรื่องก็ยังมีคำสั่งให้ชะลอการจ่ายเงินค่าจ้าง และชี้ว่าจำเลยที่ 4 -6 ไม่มีความผิดตามคำฟ้องเช่นกัน โดยยังไม่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86
จากการไต่สวนพยานและหลักฐาน ศาลชี้ว่า การที่จำเลย 1-3 ดำเนินนำงบกลางจำนวน 40 ล้านบาท มาจัดดำเนินโครงการโรดโชว์ เป็นการดำเนินนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งศาลมีอำนาจวินิจฉัยถึงการใช้งบประมาณเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐและตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากการพิจารณาร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจของนางสาวยิ่งลักษณ์ และไม่ได้กำหนดเวลากระชั้นชิด เพียงเพื่อเป็นเหตุอ้างในการใช้งบกลาง ประกอบกับผู้อำนวยการสำนักงบประมาณมีความเห็นว่าสมควรที่นายกรัฐมนตรีจะอนุมัติงบกลางนี้ได้ จึงเป็นดุลย์พินิจที่กระทำไปบนพื้นฐานของข้อมูลข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่ในขณะนั้น อีกทั้งการจัดโครงการโรดโชว์ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กระชั้นชิด และยังกล่าวถึงพฤติการณ์ของนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ว่าไม่ปรากฏว่ามีส่วนร่วมหรือแนะนำโดยมิชอบ ในกระบวนการเสนออนุมัติงงบกลาง ในการดำเนินการ และไม่ปรากฏพฤติการณ์ในการร่วมกันแทรกแซงหรือมีคำสั่งให้ เลือกบริษัทมติชนและบริษัทสยามสปอร์ตเป็นผู้รับจ้างโครงการไว้ล่วงหน้าก่อนเริ่มการจัดจ้าง หรือไม่ปรากฏว่ามีการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะอย่างใดเพื่อเพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์หรือเลือกเฉพาะเจาะจงหรือกีดกันผู้เสนอราคารายอื่น
ขณะเดียวกัน จากการไต่สวนข้อเท็จจริงได้ความว่า เห็นว่านายสุรนันทน์ไม่ได้กระทำการ ในลักษณะที่เป็นการชี้นำ หรือจูงใจ หรือให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ และไม่ได้มีบุคคลใดสั่งให้เลือกบริษัทเอกชนทั้งสองเป็นผู้รับจ้าง ซึ่งกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ เป็นไปภายใต้เงื่อนไขการดำเนินโครงการที่กระชั้นชิด ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ทำได้ตามระเบียบกฎหมาย จึงไม่ได้ใช้วิธีการประกวดราคา ตามข้อกล่าวหาจึงขาดเรื่องเจตนาพิเศษ ในการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการอนุมัติจัดโครงการ เพื่อทำให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
โดยประการสำคัญที่สุด หลังเกิดเหตุรัฐประหาร เลขาธิการนายกรัฐมนตรีสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบโครงการดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าโครงการโรดโชว์ เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ จึงอนุมัติเบิกจ่าย สอดคล้องกับการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด พบว่าไม่มีเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อหน่วยงานรัฐ ดังนั้นจึงฟังได้ว่านายสุรนันท์ไม่ได้ละเว้นการปฎิบัติ
สำหรับโครงการอีก 10 จังหวัดในวงเงิน 200 ล้านบาท เป็นการดำเนินการที่กระชั้นชิด ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะใช้วิธีการประกวดราคา และเข้าเงื่อนไขตามระเบียบสำนักนายกฯรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุเช่นเดียวกัน ส่วนจำเลย 4-6 จากข้อเท็จจริงทางไต่สวนรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ซึ่งกรณีการแบ่งจังหวัดของบริษัทมติชนและบริษัทสยามสปอร์ตนั้น เป็นไปตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและเพื่อจัดทำงานนำเสนอ จึงไม่ถือว่าเป็นการตกลงร่วมกันฮั้วประมูล จึงไม่ผิดตามคำฟ้อง องค์คณะผู้พิพากษามีมติเอกฉันท์ให้พิพากษายกฟ้อง.-314.-สำนักข่าวไทย