กรุงเทพฯ 16 ก.พ. – ภาครัฐและเอกชนมองตรงกันประเทศไทยยังมีศักยภาพสูงที่จะดึงดูดการลงทุนและการค้าได้อีกมากที่พลิกเศรษฐกิจไทย ก้าวต่อไปอย่างยั่งยืน แต่จะต้องปรับตัวและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม พัฒนาแรงงานที่มีคุณภาพด้วยการนำเทคโนโลยี่สมัยใหม่เข้ามา พร้อมทั้งต้องลดปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบเพื่อให้ไทยไปสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ กล่าวในงานสัมมนา business RESHAP ING THAILAND FOR A SUSTAINABLE FUTURE พลิกเศรษฐกิจไทย ก้าวต่อไปอย่างยั่งยืน ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ว่า บีโอไอมองว่าอีก 3 ปีข้างหน้า ถือเป็นโอกาสดีของประเทศไทย ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่เทคโนโลยีด้านดิจิทัลกันมากขึ่น เช่น รถยนต์ EV โดยหากดูตัวเลขส่งเสริมการลงทุนในปี 66 ที่ผ่านมา มีมากถึง 848,318 ล้านบาท หรือมากกว่า 2,300 โครงการ จีนเป็นอันดับ 1 และตามไปด้วย ญี่ปุ่น รวมทั้งอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม บีโอไอเตรียมแผนงานภายใน 4 ปีข้างหน้า ที่จะส่งเสริมพลังงานสะอาด การพัฒนาด้านอีวี การพัฒนาดิจิทัล การพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตร และการส่งเสริมด้านการลงทุนทุกรูปแบบ ซึ่งบีโอไอ ยังมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพหลายหลายด้านที่มีความพร้อม บริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนหรือขยายการลงทุนยังมีอีกมาก โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ และมีหลายกลุ่มหลายประเทศ สนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจะเห็นได้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รถอีวีผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายต่างมองที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย จึงเชื่อว่าไทยจะเป็นศูนย์การผลิตรถอีวีได้อย่างแน่นอน
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า เท่าที่ได้ติดตาม ประเทศไทยมีเศรษฐกิจนอกระบบมากเกินไป ทำให้รายได้ของคนอยู่ในระดับต่ำ จนมีกลุ่มคนความยากจนมาก และมีความเหลื่อมล้ำในด้านต่างๆ สูง การธรรมาภิบาลต่ำ การทุจริตในระบบราชการสูง การผลิตอยู่ในระดับต่ำเกินไป ทำให้จีดีพีของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำกว่าหลายประเทศ
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจนอกระบบของไทยมีสัดส่วนค่อนข้างสูงเกินกว่าร้อยละ 50 โดยคนทั้งประเทศ 10 -11 ล้านคน อยู่ในระบบต้องเสียภาษี แต่เสียภาษีจริงไม่กี่ล้านคน แต่คนมากกว่า 66 ล้านคน ยังต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐในรูปแบบต่างๆ อยู่ ขณะที่แรงงานเกินครึ่งเป็นแรงงานนอกระบบ ปัญหาหนี้รอบระบบยังมีมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องลดต้นทุนแฝงจากเศรษฐกิจนอกระบบด้วยการนำระบบดาต้า เพื่อลดต้นทุนแฝงจะทำให้คอร์รัปชั่นลดลง และจะต้องไม่เกิดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน แต่เร่งส่งเสริมเอสเอ็มอีเข้าสู่ธุรกิจในระบบ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกับรายใหญ่
ทั้งนี้ ยังมองว่า การแก้หนี้นอกระบบ คนที่เป็นหนี้ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินของสถาบันการเงินต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ ทำให้ยังมีหนี้นอกระบบค่อนข้างอยู่มาก ดังนั้นในอีก 5-10 ปีข้างหน้าภาคการเงินจะต้องมีการปรับเปลี่ยนในการให้บริการด้วยการนำเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาเสริมเพื่อให้คนเข้าแหล่งการเงินขอฃสถาบันการเงินให้มากยิ่งขึ้น
ดร.ภก. นิลสุวรรณ ลีลารัศมี รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้มีหลายมีหลายปัจจัยเสี่ยงถือเป็นสิ่งท้าทาย ที่มีผลต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายที่จะเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับภาคอุตสาหกรรม ปัญหาการขาดแคนแรงงาน การเสริมความรู้ให้กับแรงงานไทย รวมไปถึงการเสริมความรู้ให้กับภาคการเกษตรของไทย ปัญหาความพร้อมด้านโลจิสติกส์ ปัญหาความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้จะต้องมีการขับเคลื่อนให้จีดีพีของประเทศมีอัตราการเติบโตอย่างน้อยปีไม่น้อยกว่าร้อย 5 ไทยจะต้องมุ่งมั่นพัฒนาพลังงานสะอาดแบบยั่งยืน พร้อมทั้งดูแลด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อลดความเสี่ยงในระยะยาว แม้ประเทศไทยจะดำเนินช้าแต่จะต้องเห็นผลในระยะยาวและกลไกสนับสนุนลดก๊าซเรือนกระจก อย่างเป็นรูปธรรม โดยการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยจะต้องไปถึง 4.0 จะต้องนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อให้ผลิตสินค้าเป็นที่ยอมรับของตลาดโลกโดยเฉพาะนำ AI เข้ามาพัฒนา
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน จะต้องสร้างความสมดุล ซึ่ง ESG ช่วยลดความเสี่ยงและสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจพร้อมทั้งดูแลด้านสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมไทยจะต้องมีการลดคาร์บอนให้น้อยลง ซึ่งจะเห็นว่าหลายบริษัทของไทยมีการตื่นตัวที่จะลดปัญหาคาร์บอนและการจำกัดขยะพลาสติกให้น้อยลง
ซึ่ง GC มีแผนขับเคลื่อนองค์กรภายใต้สมดุลย์ระหว่างเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีแผนที่ชัดเจนการจะลดคาร์บอนที่จะเห็นผลในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทยกล่าวว่า แก๊ปอยู่ประเทศไทยมา 11 ปี แม้จะเป็นบริษัทเล็ก แต่ได้ใช้แพลตฟอร์มเข้ามาช่วยเสริมการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ทัังการจัดส่งอาหารและการเดินทางท่องเที่ยวปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยมากกว่า 27 ล้านคน โดย Grab ได้ร่วมทำโครงการกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและได้นำเอาเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มเข้ามาเสริมด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะได้นำAI มาแปลภาษาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวได้รู้จักสถานที่ต่างๆของประเทศไทยโดยจะเห็นว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ได้ไปได้หันไปเที่ยวในเมืองรองกันมากขึ้น รวมทั้งยังได้ช่วยสนับสนุนกลุ่มสินค้าอาหาร ซึ่งถือเป็นซอฟพาวเวอร์ไทยอีกด้านหนึ่ง นอกจากนี้แก๊ปยังเร่งศึกษาที่จะนำแพลตฟอร์มเข้าไปเสริมในภาคธุรกิจเอสเอ็มอี แก๊แยังเข้าไปช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบในกลุ่มร้านอาหารเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดย่อย โดยคิดอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำอีกด้วย.-514-สำนักข่าวไทย