สยามพารากอน 25 ม.ค.- นายกฯ ปาฐกถาพิเศษ ระบุสิ่งที่รัฐบาลทำจะเป็นโอกาสที่ดีให้คนไทยในอนาคต บอกหากดิจิทัลวอลเล็ตเกิด อุตสาหกรรมเดินหน้า เงินในกระเป๋าประชาชนเพิ่ม
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา “The Better Future Forward 2024” หัวข้อ “Reinventing Thailand : Toward Becoming a Key Global Player ทำประเทศไทยให้ดีกว่าเดิม : สู่พลังขับเคลื่อนหลักในเวทีโลก” ณ SCBX Next Tech ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คำว่า Future Forward พูดถึงอนาคต ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึงโอกาสสำหรับคนไทยใน 4 ปีข้างหน้า โดยเมื่อเช้าได้ต้อนรับ นายฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ถือเป็นผู้บริหารสูงสุดที่มาเยือนประเทศไทยในรอบ 22 ปี ถือว่านานมาก ซึ่งเยอรมนีเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยในอียู ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เรื่องความมั่นคงทางการเมือง ต้องควบคู่ไปกับสิทธิมนุษยชน เป็นสิ่งที่ต่างชาติให้ความสำคัญ ไม่ใช่เพียงแค่การค้าอย่างเดียว และความเห็นต่างที่ต้องอยู่ร่วมกันได้ เหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในสายตาของนักลงทุน นอกเหนือจากโอกาสในการทำธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของทักษะแรงงาน การแลกเปลี่ยนความรู้ความสามารถ เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ผ่านการสนับสนุนของบีโอไอ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ทำให้ประเทศไทยเป็นจุดมุ่งหมายในการลงทุน และหวังเยอรมนีจะลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า หลายบริษัทมีความประสงค์เข้ามาตั้งบริษัทในประเทศไทย แต่พบว่าติดปัญหาเรื่องขั้นตอนการขออนุมัติต่างๆ มีความซับซ้อน รวมถึงการไปทำธุรกรรมต่างๆ ที่บั่นทอนการเข้ามาลงทุนในไทย โดยรัฐบาลนี้ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลการลงทุนและการขออนุมัติต่างๆ ให้ดีและรวดเร็วขึ้น พยายามสร้างโอกาสให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ส่วนเรื่องภาษีก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งทำให้การตัดสินใจมาลงทุนในประเทศไทยเสียโอกาส ถ้าแก้ปัญหาไปได้ อะไรทำได้ก็ทำก่อน ตนไม่อยากใช้คำว่า ควิกวิน เดี๋ยวจะถูกล้อเลียนว่าอะไรก็ทำแบบควิกวินอย่างเดียว สิ่งที่หมายถึงคืออะไรทำได้ก็ทำก่อน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงเรื่องเศรษฐกิจ จุดยืนของรัฐบาลชัดเจนว่า เศรษฐกิจวิกฤติ ดูจากตัวเลขการเติบโต เราไม่สามารถสู้ประเทศคู่แข่งได้ เราไม่ได้ยืนอยู่คนเดียวบนโลก เราอยู่ท่ามกลางการแข่งขันสูง ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ อินโดนีเชีย กัมพูชา ที่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 สูงกว่าเรา ถ้าเรายืนอยู่คนเดียวบนโลก การเติบโตที่ร้อยละ 1.5 คงไม่เป็นไร
“แต่วันนี้เราแพ้คู่แข่ง 2-3 เท่าตัว เชื่อว่าอนาคตที่ดี โอกาสที่สดใสก็จะมืดมนลงไป ถ้าไม่มีการทำอะไรเกิดขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่เสนอมา คือ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่มีหลายคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ไทยเป็นประเทศที่เป็นกระจกสะท้อนของเลขาคณิตได้อย่างชัดเจน เป็นประเทศที่มีพีระมิดคนอยู่ คนมีเงินมากอยู่ฐานบน คนมีเงินน้อยอยู่ฐานล่าง มีคนต้องการความช่วยเหลืออยู่มาก ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลมีการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบหยดน้ำข้าวต้ม แจกเงินทีละ 500 บาท ทีละ 1,000-2,000 บาท ถามว่าไปถึงไหน 10 ปีหลังเศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 1.8 ไม่ไปไหน มันไม่เวิร์ก จึงต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ” นายเศรษฐา กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ให้จินตนาการว่าถ้าดิจิทัลวอลเล็ตเกิดขึ้น สภาอุตสาหกรรมทั้งหลาย ทุกคนต้องพร้อม เพราะเม็ดเงินใหม่เข้ามาในระบบประมาณ 500,000 ล้านบาท ถ้าท่านเป็นผู้ผลิตจะไม่ผลิตสินค้าหรือการจ้างงาน และเงินในกระเป๋าของประชาชนก็จะเพิ่มมากขึ้น เราต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของทุกอำเภอ ทุกจังหวัดของไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า เรื่องหนี้เป็นปัญหาใหญ่ หนี้ครัวเรือนมากกว่าร้อยละ 90 เรื่องหนี้สินไม่มีรัฐบาลไหนเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ทั้งหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ ไม่มีการแก้ไขอย่างชัดเจน เป็นส่วนที่เราสามารถแก้ไขได้ แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดคือหนี้นอกระบบที่ประชาชนในต่างจังหวัดต้องเผชิญอยู่ ซึ่งตนได้ลงพื้นที่ไปหลายจังหวัด เกษตรกรเป็นหนี้อยู่ 80,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยวันละ 4,000 บาท จ่ายมา 4 ปี ทบต้นไม่เท่าไหร่ ซึ่งต้องช่วยกันแก้ไข รัฐบาลมีนโยบายฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และ สตช. กระทรวงการคลัง มีการเรียกเจ้าหนี้นอกระบบมาพูดคุย ถ้าเจ้าหนี้ ลูกหนี้จ่ายเงินครบถ้วนแล้ว ก็ต้องยกเลิกหนี้กันไป ถ้าหนี้สินตรงนี้ไม่ถูกแก้ไขก็มีปัญหาต่อไป ฐานรากสังคมไม่แข็งแรง รวมถึงค่าแรงขั้นต่ำเชื่อว่าร้อยละ 99.9 ไม่มีใครพอใจกับค่าแรงขั้นต่ำที่มีอยู่แค่นี้ ถ้า 10 ปีทำงานเงินเดือนขึ้นมาร้อยละ 12 ไม่มีใครรับได้ เศรษฐกิจจะเติบโตได้อย่างไร ความเหลื่อมล้ำก็จะไม่หมดไป ซึ่งอยู่ในหัวใจของรัฐบาลนี้ มุ่งมั่นต้องทำให้สำเร็จรัฐบาลนี้ ต้องให้โอกาสกับทุกบุคคล
ส่วนเรื่องการท่องเที่ยว ต้องพูดถึงเรื่องสนามบิน ด้วยศักยภาพของประเทศไทย ในภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ เราสามารถเป็นศูนย์กลางของเอเชียแปซิฟิกได้ในการเป็นศูนย์การบินระดับโลก จึงมีแนวคิดยกระดับสนามบินต่างจังหวัด ทั้งเชียงใหม่ ซึ่งจะมีการปรับชื่อเป็นสนามบินล้านนา เพื่อให้เชื่อมโยงกับลำปาง ลำพูน ส่วนภาคใต้ก็จะเป็นสนามบินอันดามัน เชื่อมโยง จ.ภูเก็ต กระบี่ พังงา และระนอง ซึ่งจะทำให้เราเป็นเอเชียฮับระดับโลก หลายประเทศให้ความสนใจในเรื่องนี้ ยกให้เราเป็นพี่ใหญ่ในเรื่องของการท่องเที่ยว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องสาธารณสุข หากย้อนไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ในรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนโยบายที่ประชาชนคนไทยได้ประโยชน์สูงมาก หลายคนไม่ทราบว่าหลายประเทศขอมาพูดคุยนำนโยบายไปจัดทำ ทำให้เรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรคประสบความสำเร็จ
“นโยบายใหญ่ๆ ถูกต้านมาโดยตลอด มีวาทกรรมประหลาดออกมาตลอด 30 บาทตายทุกโรคบ้างอะไรบ้าง วันนี้คนที่พูดเหล่านี้เหล่านั้นอยู่ที่ไหนบ้าง ประชาชนคนไทยฐานรากของพีระมิดได้รับประโยชน์สูงสุดอยู่ เขาอยู่ได้ อยู่ดี มีชีวิตที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ก็เพราะนโยบายนี้ รัฐบาลนี้จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เราจะมีการยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรคขึ้นไปอีก ทำให้การเข้าถึงบริการมากยิ่งขึ้น” นายเศรษฐา กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนเรื่องสิทธิเสรีภาพ เรื่องรัฐธรรมนูญ เราพยายามไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้ บนสภาวะที่เราอยู่ร่วมกันในความเห็นต่างอย่างมีความสุข เรื่องสิทธิเสรีภาพในการเลือก ทั้งเรื่องการเลือกเพศสภาพ ซึ่งรัฐบาลนี้ได้นำเข้าสู่สภาฯ และผ่านวาระแรกไปแล้ว เรื่องการเกณฑ์ทหารก็จะให้เกณฑ์ทหารอย่างเสรี และช่องว่างทหารกับประชาชนก็แคบลงเรื่อยๆ
“ขอให้มั่นใจว่า โอกาสที่มีไม่ใช่แค่โอกาสทางด้านเศรษฐกิจ ที่ประชาชนจะมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น แต่เป็นโอกาสที่ทำให้หัวใจของพี่น้องประชาชนฟูขึ้นได้จากการมีสิทธิเสรีภาพที่ดี” นายเศรษฐา กล่าว
นายกรัฐมนตรี ยังได้ย้ำถึงโครงการแลนด์บริดจ์ พร้อมเปรียบเทียบถึงเมกะโปรเจกต์ อย่างสนามบินสุวรรณภูมิ ที่มองว่าต้องสร้างโครงการนี้ เพราะต้องใช้ระยะเวลาเป็น 10 ปี ซึ่งพูดตอกย้ำในลักษณะเดียวกับเวทีวานนี้ (24 ม.ค.) ในงานสัมมนา “Thailand 2024 The Great Challenge เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส” พร้อมยังระบุว่า ที่หลายคนมองว่า หากทำแลนด์บริดจ์จะทำให้ประเทศสิงค์โปร์ไม่พอใจ ย้ำว่านี่ไม่ใช่การแข่งขัน แต่เป็นการเสริมกัน เรื่องการขนส่งสินค้า
“ไม่อยากให้ไปเชื่อมโยงการเมือง เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ จีน หรืออินเดีย เชื่อว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จ และต้องทำการศึกษารายละเอียด พร้อมรับฟังความเห็นของทุกฝ่าย” นายเศรษฐา กล่าว.-316.-สำนักข่าวไทย