ศาลฎีกานักการเมือง 23 ก.พ. – ศาลฎีกานักการเมืองสั่งจำคุก “ประหยัด พวงจำปา” พร้อมปรับ 1 หมื่นบาท ให้รอลงอาญา 1 ปี ห้ามดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐ เหตุแจ้งทรัพย์สินเท็จ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นัดฟังคำพิพากษาคดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องนายประหยัด พวงจำปา รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบกรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2560 ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงอันควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์ควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินจำนวน 6 รายการ ซึ่งเป็นทรัพย์สินและหนี้สินในชื่อของนางธนิภา พวงจำปา คู่สมรส เป็นทรัพย์สินในประเทศ จำนวน 2 รายการ รวม 2,010,000 บาท และทรัพย์สินในต่างประเทศ จำนวน 4 รายการ รวม 225,383,103 บาท มูลค่ารวม 227,393,103 บาท ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
กรณีนี้ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดพร้อมมีคำสั่งให้นายประหยัดออกจากราชการ และส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด (อสส.) ยื่นฟ้อง ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เห็นว่าจำเลยดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ป.ป.ช. อยู่ในฐานะเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ป.ป.ช. ตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการกองขึ้นไป ซึ่งตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 158 วรรคหนึ่ง มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่ง ป.ป.ช. สามารถส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องคดีได้ โดยไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องให้ประธานวุฒิสภาพิจารณาก่อน
เมื่อศาลพิจารณาข้อมูล หลักฐานประกอบแล้วพิพากษาว่า จำเลยจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์ควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สิน จึงให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่มีคำวินิจฉัย และห้ามจำเลยดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 41 และมีความผิดตามมาตรา 119 องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมาก เห็นควรลงโทษจำคุก 4 เดือน ปรับ 1 หมื่นบาท แต่จำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56
นายอเนก คำชุ่ม ทนายความนายประหยัด กล่าวว่า หลังจากนี้จะรอคัดคำพิพากษาฉบับเต็ม ซึ่งมีรายละเอียดค่อนข้างมาก เพื่อยื่นอุทธรณ์คำสั่งในชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ต่อไป เนื่องจากยังมีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องตัดสิทธิการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 5 ปี โดยแนวทางการต่อสู้คดีเป็นเรื่องที่นายประหยัดไม่ได้มีเจตนาหรือรับทราบการถือทรัพย์สินของคู่สมรส เนื่องจากนายประหยัดเชื่อตามที่ภรรยาแจ้งมา ส่วนประเด็นในศาลปกครองก็คงต้องเตรียมข้อมูลชี้แจง หากทางฝั่งคู่ความนำคำพิพากษาในส่วนนี้ไปยื่นเพิ่มเติมต้องว่ากันไปตามกระบวนการ.-สำนักข่าวไทย