ทำเนียบฯ 16 ธ.ค. – นายกฯ รับฟังการแถลงผลงาน กพต. และโครงการสำคัญที่จะขับเคลื่อนในปี 66 ขอทุกภาคส่วนร่วมกันทำงานเกิดผลชัดเจน สร้างความเชื่อมั่น พร้อมให้ ศอ.บต. เสนอของขวัญเพื่อประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ ให้ ครม.พิจารณา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการรับฟังการแถลงผลงานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ในห้วง 3 ปีที่ผ่านมา และโครงการสำคัญที่จะขับเคลื่อนในปี 2566 (ห้วงไตรมาส 1) ตามนโยบายรัฐบาล และ กพต. โดยมีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. พร้อมด้วย กรรมการ กพต. และผู้ว่าราชการจังหวัด 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าร่วมด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้ทุกคนพัฒนาปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จากการพบปะหารือกับผู้นำของประเทศต่างๆ นั้น หลายประเทศต่างชื่นชมประเทศไทยในการบริหารจัดการโควิด-19 ภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการบริหารราชการเรื่องต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ การเงินการคลัง ตลอดจนด้านการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 10 ล้านคนแล้ว โดยเฉพาะภาคใต้ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีสถานที่แหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและมีศักยภาพ ในช่วงที่ผ่านมา การทำงานของ กพต. และทุกฝ่ายก้าวหน้าและดีขึ้นโดยลำดับ แม้จะยังมีความรุนแรงอยู่บ้าง ซึ่งเกิดจากความคิดและการเคลื่อนไหวของคนอีกกลุ่มหนึ่ง แต่ความรุนแรงก็ลดลงบ้างแล้ว ขอให้ทุกฝ่ายหาแนวทางร่วมกันในการที่จะทำให้ความรุนแรงลดน้อยลงให้ได้มากที่สุด เพื่อนำไปสู่การทำให้สถานการณ์ยุติลงและเกิดความสงบสุข
นายกรัฐมนตรี ขอบคุณคณะกรรมการ กพต. ที่ทำงานด้วยความเสียสละทุ่มเทมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันจังหวัดชายแดนภาคใต้มีการพัฒนาไปในทิศทางเชิงบวกที่ชัดเจนขึ้นหลายด้าน รวมถึงการได้รับแรงสนับสนุนจากภายนอกประเทศ องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ซึ่งก็เข้าใจถึงสถานการณ์ของประเทศไทยดี จนสามารถสร้างความเชื่อมั่นจากประชาชน ทั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในประเทศไทยและประชาคมโลกได้เป็นอย่างดี
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันมุ่งมั่นและทุ่มเท ขยายผลความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง พร้อมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน เพื่อนำพาความสันติสุขที่แท้จริงและยั่งยืน มาสู่ “ดินแดนปลายด้ามขวานทอง” ของไทยให้จงได้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายการขับเคลื่อนการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เน้นย้ำหลักคิดและหลักปฏิบัติที่สำคัญ ได้แก่ (1) การประยุกต์ศาสตร์พระราชา “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และเข้าใจปัญหา “เข้าถึงจิตใจ…ใจถึงใจ” แล้วนำไปสู่การ “พัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยต้องอาศัยการมีส่วนร่วม ไม่แบ่งเขา ไม่แบ่งเรา ทุกคนเป็นคนไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภาร และต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และ (2) หลักการทรงงาน “ระเบิดจากข้างใน” และให้ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” โดยฟังเสียงและฟังความต้องการของประชาชนในพื้นที่ โดยไม่ใช่เป็นการกระทำที่ยัดเยียดหรือคิดแทนในสิ่งที่ไม่ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังย้ำถึง 3 ภารกิจที่จะต้องให้ความสำคัญ ได้แก่ การสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ การเชื่อมโยงแผนงานโครงการแบบ 360 องศา โดยประสานสอดคล้องแผนงานระดับชาติ ระดับภูมิภาค กลุ่มจังหวัด จังหวัด และแต่ละท้องถิ่น และการดูแล คุ้มครอง ช่วยเหลือให้พระสงฆ์และชาวไทยพุทธในพื้นที่ สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้เป็นปกติสุข
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ขอให้ทุกส่วนราชการในฐานะ กพต. ทบทวนว่ายังคงมีเรื่องใดที่ กพต.ได้เคยมีมติเห็นชอบเป็นหลักการไว้หรือไม่ มาพิจารณาเปรียบเทียบการดำเนินการในช่วงที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ เพื่อให้เห็นถึงการดำเนินการที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องก่อนที่รัฐบาลจะเข้ามา พร้อมให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนทุกภาคส่วนและต่างประเทศ ถึงผลสำเร็จที่เกิดขึ้นและการดำเนินการอย่างจริงจังต่อเนื่อง ทั้งนี้ การดำเนินการสิ่งใดก็ตามต้องระมัดระวังอย่างที่สุด ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย การอำนวยความยุติธรรม รวมถึงการทุจริตจะต้องไม่เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด คำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน เรื่องใดที่จะต้องเสนอให้ ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก็ขอให้เร่งรัดเสนอเข้ามาเป็นการเร่งด่วน เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการจัดทำคำของบประมาณประจำปี และดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ให้ ศอ.บต. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ประสานการทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อประมวลผลการทำงานที่สามารถดำเนินการได้อย่างแท้จริงในปี 2566 และให้เสนอเป็นรายการของขวัญเพื่อประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปี 2566 ให้ ครม.พิจาณาอนุมัติต่อไป. – สำนักข่าวไทย