กรุงเทพฯ 24 เม.ย.-กรมสุขภาพจิตชี้กรณีเด็กแฝดวัย 7 ขวบ ที่ร้องไห้ไม่อยากไปอยู่กับพ่อ เป็นปฏิกิริยาทางจิตใจทั่วไปที่เกิดขึ้นได้ เมื่อต้องจากคนใกล้ชิด แนะทางออก ทั้งฝ่ายยาย-ป้า และครอบครัวพ่อ ดูแลใกล้ชิด ให้เด็กคลายกังวล เกิดความอบอุ่นใจ ส่งผลต่อการปรับตัวเข้าสภาพแวด ล้อม ใหม่ดีขึ้น
จากกรณีที่มีการแชร์ในโลกออนไลน์วันที่ 23 เม.ย.60 กรณี 2 ยายป้า ชาว ตำบลโคกหล่าม อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ร่ำไห้คิดถึงหลานสาวสาวฝาแฝดที่เลี้ยงมาตั้งแต่เกิด เนื่องจากมารดาเด็กเสียชีวิต จนกระทั่งอายุได้ 7 ขวบก่อนถูกบิดาแท้ๆ กับญาติ ไปรับตัวไปเลี้ยงดูที่ต่างจังหวัดเมื่อวันที่ 22 เม.ย.2560แต่เด็กไม่ยินยอมไปจากยายและป้าที่เลี้ยงดูมาแต่เกิดและ มีความผูกพันกันมาก และเด็กทั้ง 2 ยังไม่คุ้นเคยกับพ่อตนเองมาก่อนนั้น
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวง สาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ไม่ใช่ เรื่องผิดปกติ เป็นปฏิกิริยาทางจิตใจทั่วไปของเด็กที่เกิดขึ้นได้ เมื่อต้องพลัดพรากจากบุคคลที่รักและผูกพันรวมทั้งสถานที่ที่คุ้นเคยมาก่อน เพื่อไปอยู่ กับครอบครัวใหม่ทางฝ่ายพ่อที่มีความปรารถนาจะให้การเลี้ยงดูลูกตามกฎหมายและอาจรุนแรงหากขาดการเตรียมพร้อมทางจิตใจมาก่อนล่วง หน้าซึ่งเรื่องนี้เป็นความละเอียดอ่อนทางจิตใจ คล้ายๆกับกรณีเด็กที่เพิ่งไปโรงเรียนครั้งแรกพบเห็นได้บ่อยในช่วงเปิดเทอม
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า วิธีการดีที่สุดก่อนรับเด็กไปอุปการะดูแล ผู้ใหญ่ทั้ง 2ฝ่าย ควรมีการวางแผนร่วมกันก่อนอย่างต่อเนื่องและพูดคุยอธิบายให้เด็กรับรู้ซึ่งเด็กวัย 7 ขวบนี้มีความสามารถเข้าใจถึงเหตุผลได้แล้วและค่อยๆสร้างประสบการณ์ให้เด็ก เช่น ทดลองไปอยู่กับพ่อหรือพ่อมา อยู่ที่บ้านยายและป้า เพื่อให้เด็กค่อยๆปรับตัว ปรับจิตใจ เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ ให้เด็กเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ มั่นใจและปลอดภัยอย่างไรก็ดีในช่วงนี้ ถือว่าเป็นช่วงการปรับตัวของเด็ก จึงขอแนะนำดังนี้
1.กรณีครอบครัวของพ่อ หลังรับเด็กมาอยู่ด้วย ขอให้พ่อและบุคคลในครอบครัวให้การดูแลใส่ใจเด็กอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ ถึงแม้จะมีคู่แฝดเป็นเพื่อนใกล้ชิดพูดคุยกันได้ แต่ควรมีคนในครอบครัวคนใดคนคนหนึ่งที่เป็นที่พึ่งหลักให้เด็กทั้งสองได้พูดคุยพึ่งพาและเป็นที่พักพิงใจของเด็กจะช่วยให้เด็กปรับตัวได้ง่ายขึ้น ควรจัดกิจกรรมร่วมกับเด็กเพื่อสร้างความใกล้ชิดและคุ้นเคยซึ่งกันและกัน เช่นทำกับข้าวดัวยกัน ทำกิจวัตรประจำวันอื่นๆ และคอยสังเกตอารมณ์จิตใจพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งช่วงแรกเด็กอาจยังมีความกังวล อึดอัด คับข้องใจ เศร้าซึมบ้าง โดยทั่วไปเวลาในการปรับตัว แต่ละคนอาจแตกต่างกันบางคนปรับตัวได้เร็ว บางคนช้า โดยหากเด็กยังมีอาการคงเดิมหรือเพิ่มขึ้นหลังจากใช้ชีวิตในครอบครัวใหม่เกิน 6-8 สัปดาห์ ควรปรึกษาจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 เพื่อช่วยแนะนำการดูแลต่อไป
2.กรณีครอบครัวของยายและป้า ซึ่งจะเกิดความรู้สึกคิดถึงหลานเป็นธรรมดา การติดต่อสื่อสารโดยการโทรศัพท์พูดคุย นอกจากจะทำให้จิตใจทั้งเด็กและยายดีขึ้น ยังเป็นการรักษาสายสัมพันธ์ไว้อย่างต่อเนื่อง และยังเป็นวิถีทางจะช่วยให้เด็กปรับตัว ปรับใจได้เร็วขึ้น หรือการเดินทางไปเยี่ยมเยียนซึ่งกันและกันเป็นครั้งคราว หากมีโอกาสก็พึงกระทำ
3.ในส่วนประชาชน สังคมรอบนอก ที่รับรู้และเห็นภาพเหตุการณ์ อย่าด่วนตัดสินเพียงภาพที่เห็น เจตนารมณ์เป็นเรื่องความรักความปรารถนาดีที่จะให้การดูแลเด็กทั้ง 2 คนอย่างดีที่สุด จึงขอให้สังคมอย่าโทษใครว่าเป็นฝ่ายผิดฝ่ายถูกแต่ขอให้ร่วมกันให้กำลังใจและชี้แนะวิธีปฏิบัติแก่ 2 ฝ่าย โดยมุ่งประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดขึ้นกับเด็กเป็นสำคัญ.-สำนักข่าวไทย