สหรัฐ 13 ก.ค.- สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในหลายประเทศยังน่าวิตกโดยเฉพาะสหรัฐ และบราซิลที่ในแต่ละวันยังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็นจำนวนมาก
สหรัฐยังคงครองตำแหน่งประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสมและเสียชีวิตมากที่สุดในโลก เฉพาะเมื่อวานนี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มเกือบ 60,000 คน ทำให้ยอดสะสมเพิ่มเป็นกว่า 3.4 ล้านคนแล้ว และมีผู้เสียชีวิตเกือบ 138,000 คน สถานการณ์แพร่ระบาดที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้หลายรัฐต้องระงับแผนการผ่อนปรนมาตรการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมโรคและมีการบังคับให้ประชาชนสวมหน้ากาก ในขณะที่รัฐบาลกลางพยายามกดดันให้โรงเรียนทั่วประเทศเปิดเรียนตามกำหนดในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้
ที่รัฐฟลอริดามีกลุ่มนักเคลื่อนไหวออกรณรงค์ต่อต้านการสวมหน้ากาก โดยมีร้านอาหารแห่งหนึ่งเป็นแนวร่วม เจ้าของร้านประกาศว่าทางร้านจะไม่บังคับลูกค้าที่มาใช้บริการว่าจะต้องสวมหน้ากาก ด้านกลุ่มนักเคลื่อนไหวก็ผุดแคมเปญกินฟรี 100 คนสำหรับผู้ที่มาใช้บริการโดยไม่สวมหน้ากากเพื่อเชิญชวนให้ผู้คนต่อต้านการสวมหน้ากากทั้งๆ ที่เวลานี้รัฐฟลอริดากำลังเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาด ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มถึง 109,000 คนมากกว่ารัฐอื่นๆ ในประเทศ
ส่วนที่บราซิลประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนารู ปรากฏตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้หลังจากที่ตรวจพบว่าติดเชื้อโรคโควิด-19 ไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ แต่การปรากฏตัวล่าสุดผู้นำบราซิลได้สวมหน้ากาก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวปฏิเสธการสวมหน้ากากมาตลอด ทั้งยังปรามาสว่าโรคโควิด-19 เป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาเท่านั้น ท่าทีของผู้นำบราซิลทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าล้มเหลวในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรค และถูกสมาคมสื่อยืนฟ้องว่าทำให้นักข่าวเสี่ยงติดโรคจากการที่นายโบลโซนารูยืนให้สัมภาษณ์อย่างใกล้ชิดโดยไม่สวมหน้ากาก
อีกด้านหนึ่งที่นครริโอเดจาเนโร ทางการท้องถิ่นส่งเจ้าหน้าที่ออกลาดตระเวนตลอดชายหาดอิปาเนมาเพื่อลงโทษปรับประชาชนที่มาพักผ่อนชายทะเลโดยไม่ยอมสวมหน้ากากอนามัย ผู้ฝ่าฝืนต้องถูกปรับเงินราว 20 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 600 บาท ขณะที่บราซิลมีผู้ติดเชื้อสะสมเกือบ 187,000 คน และมีผู้เสียชีวิตกว่า 72,000 คน มากเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐ.-สำนักข่าวไทย