เทียนจิน 2 ก.ย.- ปิดฉากไปแล้วกับการประชุมองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่จีน เป็นการประชุมครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่องค์กรนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 24 ปีก่อน โดยมีขึ้นในยามที่ระเบียบโลกเริ่มปั่นป่วนตั้งแต่สหรัฐได้ผู้นำใหม่ ท่ามกลางการจับตา “อินเดีย” ว่าจะเป็นตัวแปรของการสร้างระเบียบโลกใหม่
จุดเริ่มต้นของ SCO
SCO ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2544 โดยจีนและประเทศเพื่อนบ้าน 5 ประเทศประกอบด้วยคาซัคสถาน คีร์กิซสถาน รัสเซีย ทาจิกิสถาน และอุซเบกิสถาน โดยเปลี่ยนมาจากเซี่ยงไฮ้ไฟว์ (Shanghai Five) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2539 โดยยังไม่มีอุซเบกิสถานเข้าร่วม
SCO ถูกมองว่า เป็นความพยายามคานอิทธิพลของสหรัฐในภูมิภาคเอเชียกลาง ต่อมาได้ขยายพื้นที่ออกไปนอกภูมิภาคด้วยการรับอินเดียและปากีสถานในเอเชียใต้เข้ามาเป็นสมาชิกในปี 2560 ตามด้วยอิหร่านในปี 2566 และเบลารุสในปี 2567 รวมเป็นรัฐสมาชิก 10 ประเทศ
ปัจจุบัน SCO มีรัฐสังเกตการณ์ 2 ประเทศ คือ มองโกเลียและอัฟกานิสถาน มีหุ้นส่วนเจรจา 15 ประเทศ ในจำนวนนี้เป็นประเทศในอาเซียน 3 ประเทศ คือ กัมพูชา (ปี 2558) เมียนมา (ปี 2565) และลาว (ปี 2568) และมีแขกรับเชิญ 4 ประเทศหรือองค์กร คือ อาเซียน เครือรัฐเอกราชหรือซีไอเอส (CIS) สหประชาชาติ และเติร์กเมนิสถาน ขณะที่เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซียได้รับเชิญในฐานะแขกของเจ้าภาพคือจีน ส่วนไทยไม่ได้มีส่วนร่วมในการรวมตัวนี้
สมาชิก SCO รวมพลคนต่อต้านสหรัฐ
สมาชิก SCO บางประเทศเป็นอริกับโลกตะวันตกอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอิหร่านและเบลารุส ขณะที่จีน รัสเซีย และอินเดียมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับสหรัฐ ปัจจุบัน SCO ได้ขยายความร่วมมือจากเดิมที่มุ่งเน้นด้านความมั่นคงและการต่อต้านการก่อการร้ายมาครอบคลุมเรื่องเศรษฐกิจและการทหาร
ที่ผ่านมา จีนเป็นประเทศที่มีบทบาทหลักใน SCO ขณะที่รัสเซียต้องการใช้กลุ่มนี้รักษาอิทธิพลที่มีต่อ 4 ประเทศที่เป็นอดีตรัฐบริวารของสหภาพโซเวียต ส่วนสมาชิกที่เข้ามาทีหลัง 4 ประเทศดูเหมือนพยายามจะมีบทบาทแต่ติดขัดบางประเด็น อิหร่านและเบลารุสถูกนานาชาติคว่ำบาตรและประณามเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน ขณะที่ปากีสถานต้องพึ่งพาจีนอย่างมากในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์
เวทีนี้มีจีนเป็นพระเอก
นายต้าลี่ หยาง นักรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิคาโกของสหรัฐมองว่า สำหรับจีนแล้ว SCO เป็นองค์กรระดับภูมิภาคสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งที่จีนเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง และเป็นเวทีที่จีนจะใช้รักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีอยู่ แม้ว่าองค์กรนี้ไม่มีประสิทธิภาพในการรับมือกับความท้าทายสำคัญในโลกปัจจุบันก็ตาม
จูน เทาเฟล ดรายเออร์ ผู้เชี่ยวชาญการเมืองจีน มหาวิทยาลัยไมแอมีของสหรัฐเห็นว่า SCO พยายามยกระดับขึ้นจากการเป็นเวทีเจรจาให้เป็นกลไกความร่วมมือเชิงปฏิบัติที่นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมต่อประชาชนของชาติสมาชิก แต่ประเด็นคือจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร อย่างไรก็ดี สำหรับจีนแล้ว การเป็นประธานการประชุม SCO ครั้งที่ 25 ที่นครเทียนจิน ทางตอนเหนือของจีนเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมถึงวันที่ 1 กันยายน 2568 น่าจะทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนได้ภาพลักษณ์ที่น่าชื่นชม และอาจฉายภาพความเป็นผู้นำระเบียบโลกใหม่ด้วย
วาส เชนอย ผู้ก่อตั้งความริเริ่มอินโด-เมดิเตอร์เรเนียน และตัวแทนอิตาลีในหอการค้าอินเดียวิเคราะห์ว่า การประชุมครั้งล่าสุดนี้ไม่ได้เป็นเพียงการประชุมประจำปีของ SCO เท่านั้น แต่เป็นช่วงตอนสำคัญที่สุดของกระบวนการที่อาจทำผู้นำจีนได้แสดงบทบาทผู้นำโดยพฤตินัยของกลุ่มที่แผ่ขยายจากกรุงมินสก์ในเบลารุสไปถึงนครมุมไบของอินเดีย และจากกรุงมอสโกของรัสเซียไปถึงกรุงเตหะรานของอิหร่าน การที่ผู้นำอินเดีย รัสเซีย อิหร่าน ปากีสถาน เบลารุส ตุรกี และประเทศในเอเชียกลางมารวมตัวกัน ไม่ใช่การพบกันตามกำหนดเท่านั้น แต่อาจเป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนจัดวางสภาพแวดล้อมอย่างรอบคอบมาแล้วตั้งแต่ต้น เพื่อรอให้ช่วงเวลาที่ต้องการเกิดขึ้นในวันนี้ ประกอบกับสถานการณ์โลกเป็นใจให้จีน ทั้งเรื่องสงครามยูเครนที่ทำให้รัสเซียหันมาหาจีนมากขึ้น และเรื่องความสัมพันธ์อินเดีย-สหรัฐที่ร้าวฉานเพราะนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐเก็บภาษีอินเดียเพิ่มอีก 25% โทษฐานนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ทำให้สินค้านำเข้าของอินเดียต้องเสียภาษีเข้าสหรัฐสูงสุดถึง 50%
จีน-อินเดียใช้ SCO เยียวยาสัมพันธ์
การประชุม SCO ครั้งนี้ จีนได้ต้อนรับนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของอินเดียเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ขณะที่ความสัมพันธ์ของสองประเทศเสื่อมถอยจากเหตุปะทะชายแดนปี 2563 ผู้นำอินเดียย้ำระหว่างหารือทวิภาคีกับผู้นำจีนว่า อินเดียมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าความสัมพันธ์กับจีนบนพื้นฐานของการให้เกียรติ ความไว้วางใจ และความละเอียดอ่อนต่อความรู้สึก ทั้ง 2 ประเทศได้ทำข้อตกลงที่จะปูทางไปสู่การแก้ปัญหาชายแดน นอกจากนี้ยังได้ฟื้นเที่ยวบินตรงระหว่างกัน และจะเพิ่มการค้าการลงทุนระหว่างกัน
อัตสึโกะ ไวต์เฮาส์ หัวหน้าฝ่ายตลาดญี่ปุ่นของเว็บไซต์ BullionVault ตั้งข้อสังเกตว่า ราคาทองคำทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดครั้งใหม่ในตลาดประมูลทองคำแท่งที่กรุงลอนดอนของอังกฤษ สวนทางกับดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงพร้อมกับราคาพันธบัตรของรัฐบาลชาติตะวันตกเมื่อวันที่ 1 กันยายน ซึ่งเป็นวันที่โลกได้เห็นผู้นำกลุ่มบริกส์ (BRICS) อย่างจีน รัสเซีย และอินเดียจับมือและพูดคุยกันอย่างสนิทสนม
จีน-รัสเซีย-อินเดีย ความสัมพันธ์ 3 เส้ากับการสร้างระเบียบโลกใหม่
เวที SCO ที่เทียนจินเต็มไปด้วยภาพความชื่นมื่นของผู้นำ 3 ชาติมหาอำนาจที่ไม่ใช่ชาติตะวันตก ประธานาธิบดีสีของจีนประกาศว่า “จีนและอินเดีย สองประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกต้องเป็นมิตรกัน” ส่วนนายกรัฐมนตรีโมดีของอินเดียเรียกประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียว่า “หุ้นส่วนพิเศษและมีเอกสิทธิ์” ขณะที่ผู้นำรัสเซียกุมมือผู้นำอินเดียแล้วเรียกว่า “เพื่อนรัก” อีกทั้งยังเชิญขึ้นรถลิมูซีนกันกระสุนของเขาเพื่อไปหารือทวิภาคีกันด้วย
นายฟรานเซสโก ซิซซี ผู้อำนวยการสถาบันแอปเพีย (Appia Institute) ชี้ว่า นายปูตินไม่เพียงไม่สั่นคลอนฐานอำนาจของจีน แต่กลับกระชับความสัมพันธ์กับจีนและอินเดีย โดยกีดกันนายทรัมป์และอิทธิพลของสหรัฐออกไป เดิมนายทรัมป์ต้องการดึงรัสเซียออกจากจีน เพื่อป้องกันการสร้างกลุ่มที่จะท้าทายอำนาจสหรัฐ เป็นการเดินตามกระบวนทัศน์นิกสัน (Nixon Paradigm) ของนายริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้นที่ใช้นโยบายการทูตเปิดความสัมพันธ์กับจีนในปี 2515 เพื่อโดดเดี่ยวสหภาพโซเวียต แต่กลับกลายเป็นว่า นายปูตินพลิกกระบวนทัศน์นี้มาโดดเดี่ยวสหรัฐเสียเอง
Final Thoughts: อินเดีย ตัวแปรระเบียบโลกใหม่
ดูเหมือนว่า ตัวแปรในแผนการของนายทรัมป์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจีนหรือรัสเซีย แต่ขึ้นอยู่กับอินเดีย ทั้งนี้ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันล้วนแต่พยายามรักษาความสัมพันธ์กับอินเดียเพื่อคานอำนาจจีน ความพยายามดังกล่าวพังลง เมื่อนายทรัมป์กลับมาเป็นผู้นำสหรัฐสมัยที่ 2 ตั้งแต่ต้นปีนี้
นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า ฟางเส้นสุดท้ายของนายโมดีไม่ใช่เรื่องภาษีศุลกากร หรือการถูกสหรัฐลงโทษที่นำเข้าน้ำมันรัสเซีย แต่เป็นเรื่องที่ถูกนายทรัมป์กดดันครั้งแล้วครั้งเล่าให้เสนอชื่อเขาเป็นผู้คว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โดยอ้างว่าเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยความบาดหมางอินเดีย-ปากีสถาน ผู้นำอินเดียมองว่า เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นการเรียกร้องโดยไม่สนใจรับรู้อะไรเลย แต่ยังเป็นการดูหมิ่นอินเดียอีกด้วย
ดังนั้น ตราบใดที่ความสัมพันธ์กับสหรัฐยังคงแขวนอยู่กับความไม่แน่ไม่นอนของผู้นำที่คาดเดายากอย่างนายทรัมป์ อินเดียจะยังคงเป็นตัวแปรต่อแผนการจับมือกันสร้างระเบียบโลกใหม่ของจีนและรัสเซีย ซึ่งเป็น 2 ประเทศที่อินเดียยังไม่อาจเรียกว่า “มหามิตร” ได้อย่างเต็มปาก.-814.-สำนักข่าวไทย
แหล่งข้อมูล :
https://www.jpost.com/opinion/article-865971
https://www.bullionvault.com/gold-news/gold-price-news/gold-new-record-trump-sco-090120251