วอชิงตัน 12 เม.ย. – พล.อ. เจมส์ แมททิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐกล่าวว่า รัฐบาลซีเรียเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการใช้อาวุธเคมีโจมตีเมืองของกลุ่มกบฏ จนทำให้มีพลเมืองเสียชีวิตอย่างน้อย 87 คนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
พล.อ. แมททิสกล่าวระหว่างงานแถลงข่าวครั้งแรกที่อาคารเพนตากอนว่า รัฐบาลซีเรียเป็นผู้รับผิดชอบการสั่งก่อเหตุโจมตีกลุ่มกบฏด้วยอาวุธเคมีเมื่อวันที่ 4 เมษายนอย่างแน่นอน โดยสหรัฐมั่นใจว่า ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดควรเป็นฝ่ายถูกตำหนิในเรื่องนี้ นอกจากนี้ รมว.กลาโหมของสหรัฐยังขู่อีกว่า สหรัฐจะตอบโต้อย่างสาสม หากกองทัพซีเรียยังใช้อาวุธเคมีในการโจมตีอีก
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียออกมาปกป้องรัฐบาลซีเรีย ซึ่งเป็นพันธมิตรของตนว่า รัสเซียต้องการให้องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ยื่นมือเข้ามาตรวจสอบเหตุโจมตีที่เมืองข่าน เชคุนในซีเรียอย่างละเอียด พร้อมตำหนิคำกล่าวหาของสหรัฐว่า เป็นวิธีการที่ชวนให้ระลึกถึงข้ออ้างของสหรัฐในการใช้อาวุธทำลายล้างรุกรานอิรักเมื่อปี 2546 เขากล่าวอีกว่า ฝ่ายกบฏซึ่งเป็นคู่ปรับของผู้นำซีเรียกำลังเตรียมการสร้างสถานการณ์โจมตีรอบใหม่ เพื่อให้สหรัฐเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศได้ง่ายขึ้น
ด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐตอบโต้ว่า รัสเซียพยายามทำให้เกิดความสับสนเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น และ อาจสมรู้ร่วมคิดกับกองทัพซีเรียในการใช้อาวุธเคมีด้วย ทั้งนี้ นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐได้เดินทางไปยังกรุงมอสโก เพื่อหารือเรื่องซีเรียกับนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศรัสเซีย โดยจะขอให้รัสเซียตีตนออกห่างจากประธานาธิบดีอัสซาดและอิหร่าน และหันมาร่วมมือกับสหรัฐและชาติพันธมิตรอาหรับในการหาทางยุติความขัดแย้งในซีเรีย ส่วนกำหนดการที่นายทิลเลอร์สันจะพบปะกับประธานาธิบดีปูตินยังคงไม่ชัดเจน.- สำนักข่าวไทย