กรุงเทพฯ 8 ส.ค. – อดีตผู้ว่าการ ธปท. ชี้สถานการณ์ความยั่งยืนของประเทศน่าห่วง เผย 5 ปี คอร์รัปชันพุ่ง ความเหลื่อมล้ำรอบด้าน ทั้ง “เศรษฐกิจ-โอกาส-การศึกษา” นำไปสู่ความแตกแยก ขณะที่ผู้จัดการ ตลท. ชี้ประเด็นสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล หรือ ESG กำลังเป็นความปกติใหม่ ทุกฝ่ายต้องร่วมกันให้เกิดความยั่งยืน
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นประธานเปิดงานสัมมนา ThaiPublica Forum 2022 “ก้าวร่วมกัน…สู่ก้าวที่ยั่งยืน” ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักข่าวไทยพับลิก้า ร่วมกันจัดขึ้น โดยระบุว่า ขณะนี้โลกของเรากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทั้งจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ โรคระบาด ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองโลก ที่มาพร้อมๆ กัน ทำให้ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทุกชีวิตในโลกประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ซึ่งยากมากที่จะก้าวผ่านปัญหาเพียงลำพัง เราจึงต้องก้าวร่วมกันอย่างหนักแน่นและจริงจัง จนเป็นก้าวที่ยั่งยืน จึงจะฝ่าอุปสรรคไปได้ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ ตลท. ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาตลาดทุนอย่างยั่งยืน เพราะเราหวังว่าจะเห็นการเติบโตร่วมกันของเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ดี
นายภากร กล่าวย้ำว่า ในการเปลี่ยนแปลงนี้มีโอกาสเติบโตอย่างมากมาย แต่ไม่จำเป็นต้องแลกกับสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมลง หรือความมั่งคั่งทางการเงิน แลกกับความถดถอยทางสังคม เพราะการเติบโตแบบสมดุล โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจและการลงทุนที่คำนึงถึงผลตอบแทนทางการเงินและความเสี่ยง โอกาสในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลที่ดี หรือ ESG กำลังเป็นความปกติใหม่ที่ทุกคนถามหา เห็นได้จากการลงทุน ESG ที่เติบโตทั่วโลก และกลายเป็นกระแสหลัก หากเราไม่ดำเนินการสู่ความยั่งยืน จะทำให้เราสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ด้านนายวิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารและเลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวปาฐกถาพิเศษว่า สถานการณ์ความยั่งยืนที่เกิดขึ้นในประเทศไทยน่ากังวล แม้ไม่เจอสภาวะขาดแคลนอาหาร แต่สภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ซึ่งไทยถูกจัดเป็นประเทศที่ได้รับความรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะที่วิกฤตทางด้านสังคม และธรรมาภิบาล อยู่ใกล้จุดพลิกผัน (Tipping Point) มากขึ้น ซึ่งต้องระวังไม่ให้ก้าวข้ามจุดนี้ เพราะจะส่งผลเพิ่มแบบทวีคูณ โดยในด้านสังคม และธรรมาภิบาล โดยเฉพาะเรื่องปัญหาคอร์รัปชัน หากปล่อยให้ปัญหาคอร์รัปชันเป็นบรรทัดฐานที่ยอมรับได้ในสังคม จะแก้ปัญหาได้ยากและมีผลกระทบที่กว้างไกล ดัชนี CPI – ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันของไทย ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ลดลงต่อเนื่องทุกปี โดยปี 2561 ไทยเคยอยู่อันดับที่ 96 แต่ปีที่แล้วเราขยับไปอยู่อันดับที่ 110 แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่รุนแรงมากขึ้น
เช่นเดียวกับปัญหาความเหลื่อมล้ำของคน ความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา ซึ่งความเหลื่อมล้ำเหล่านี้นำไปสู่ความแตกต่างทางความคิด ทำให้สังคมไทยมีความเปราะบาง ไม่สามารถสร้างพลังร่วมที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้เท่าทันกับความท้าทายใหม่ๆ นอกจากนี้ ยังเห็นแวดวงธุรกิจที่มีการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม เรื่องปลาใหญ่กินปลาเล็ก หรือปลายักษ์กินปลาเล็ก เราเห็นการเอาเปรียบผู้บริโภคจากอำนาจทุนใหญ่ เรื่องเหล่านี้เป็นจุดที่ต้องระมัดระวังไม่ทำให้สังคมเปราะบางลงไปอีก
ขณะที่นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ กล่าวว่า การทำธุรกิจแบบมองแต่ตัวเอง เป็นต้นตอของปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทั้งในฐานะความเป็นอยู่ ความมั่งคั่ง โดยพบว่าคนในโลกนี้ มีเพียงร้อยละ 1 ของโลก ที่มีฐานะร่ำรวย เทียบเท่าการถือครองทรัพย์สินของคนร้อยละ 99 ในโลกรวมกัน แต่ในทางตรงกันข้าม กลับมีเพียง 1 ใน 4 ที่สามารถเข้าสู่ระบบการเงินอย่างเป็นระบบ ที่เหลือต้องเข้าสู่การกู้หนี้นอกระบบ กลายเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว จนกระทบต่อการดำรงชีวิตและการศึกษา
นอกจากนี้ยังมีความเหลื่อมล้ำทางด้านสุขอนามัย เห็นได้จากการระบาดของโควิด คนในประเทศพัฒนาแล้ว ร้อยละ 80 ได้รับวัคซีน แต่ประเทศยังไม่พัฒนาได้รับวัคซีนเพียงร้อยละ 16 ส่วนความเหลื่อมล้ำด้านสิ่งแวดล้อม พบว่า คนที่มีความมั่งคั่งเพียงร้อยละ 10 แต่กลับทำลายสิ่งแวดล้อมมากถึงร้อยละ 50 ของทั้งหมด หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ธนาคารโลก ระบุว่า คน 2 ใน 3 ของโลกจะต้องเผชิญการย้ายถิ่นที่อยู่ จากสภาพแสดล้อมที่เสียหายจนไม่สามารถทำมาหากินได้ สุดท้ายคือ ความเหลื่อมล้ำของการมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข ผลของการแย่งทรัพยากร จนเกิดการแบ่งฝักฝ่าย แบ่งพวก จนกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศ หากเป็นเช่นนนี้ เด็กที่เกิดใหม่ในปี ค.ศ. 2030 จะหาความสงบสุขในชีวิตไม่ได้เลย พร้อมย้ำว่า จากนี้ไป มายด์เซ็ทการทำธุรกิจจะต้องเปลี่ยนเป็นเห็นผู้บริโภคสำคัญที่สุด จะไม่เพียงดูค่า PE หรือ EBITDA แต่จะต้องไปดูส่วนที่ทำให้เกิดผลกระทบกับคนภายนอกด้วย. – สำนักข่าวไทย