ชัยภูมิ 29 ก.ย. – นายกฯ ให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบอุทกภัย อ.จัตุรัส จ.ชัยภูมิ ย้ำรัฐบาลจะดูแลให้ดีที่สุด ไม่ยืนยันว่าจะไม่ท่วมหนักเหมือนปี 54 ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศที่ควบคุมไม่ได้ ยอมรับกังวลมวลน้ำไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพให้ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ณ วัดชัยชนะวิหาร (วัดบ้านละหาน) ตำบลละหาน อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเมื่อเดินทางถึง นายกรัฐมนตรีได้เข้าสักการะพระประธาน และนมัสการพระครูสุจิต วิหารกาล เจ้าอาวาสวัดชัยชนะวิหาร (วัดบ้านละหาน)
นายกรัฐมนตรี กล่าวให้กำลังใจประชาชนว่า ได้นำความห่วงใยจากกรุงเทพมหานครและหลายจังหวัดของประเทศ มาให้กับประชาชนทุกคนในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งขณะนี้ก็มี 30 จังหวัดที่ประสบอุทกภัยเช่นกัน ทั้งนี้ โครงสร้างที่อยู่อาศัยของประชาชนอยู่ใกล้แม่น้ำลำคลอง ในภาวะปกติก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อมีพายุฝนตกหนักก็จะได้รับผลกระทบ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนต้องเตรียมความพร้อม เพื่อรับมือกับสถานการณ์ได้ทันท่วงที และเกิดความเสียหายน้อย โดยรัฐบาลจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ให้ดีที่สุดในการดูแลประชาชน ซึ่งได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งแก้ไขปัญหาอุทกภัยแล้ว พร้อมไปกับที่รัฐบาลจะเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินและการเกษตร และแก้ไขปัญหาการว่างงานให้กับประชาชน
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า คนอีสานใจเด็ด รักใครรักจริง ตนก็เป็นคน 2 จังหวัด โคราชกับชัยภูมิ การเดินทางมาในวันนี้ มีทุกหน่วยงานมาดูแลช่วยเหลือประชาชน รวมทั้ง ส.ส.ในพื้นที่ด้วย ทั้งนี้ ความสุข ความโศก โรคภัยนั้น มาแล้วเดี๋ยวก็ไป ขอให้ทุกคนดูแลซึ่งกันและกัน เราจะต้องมีความเป็นไทย สังคมครอบครัวต้องไม่แตกแยกกัน วันข้างหน้าลูกหลานจะต้องดูแลครอบครัว เพื่อให้ครอบครัวและสังคมมีความเข้มแข็ง อันจะส่งผลดีโดยรวมต่อประเทศชาติต่อไป พร้อมอวยพรขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว ประสบแต่โชคดีมีชัย พร้อมระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วย
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ เดินลุยน้ำไปตรวจเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยบ้านละหาน ซึ่งนายกฯ ได้พูดคุยให้กำลังใจประชาชนตลอดทางที่ตรวจเยี่ยม โดยขอให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจแก้ไขปัญหาไปให้ได้
นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังตรวจเยี่ยมว่า ต้องการมาดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เพื่อหาวิธีการที่จะแก้ปัญหา ซึ่งทุกอย่างต้องมีการปรับเปลี่ยนให้ได้รวดเร็ว และครั้งนี้ต้องเข้าใจว่า ปัญหาภัยพิบัติเกิดขึ้นทั่วโลก ถือว่าโลกได้แจ้งเตือนในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติว่า ที่ผ่านมาใช้กันอย่างสิ้นเปลือง ซึ่งรัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาทุกปัญหา เพราะมีผลกระทบในหลายด้าน รวมถึงการเกษตรด้วย โดยรัฐบาลต้องดูแลคนทุกระดับ ที่ผ่านมารัฐบาลปรับโครงสร้างมามากพอสมควรแล้ว และยังต้องทำอย่างต่อเนื่อง วันนี้ได้รับฟังความคิดเห็นจาก ส.ส.ในพื้นที่ รวมถึงสิ่งที่ชาวบ้านมีความต้องการ ซึ่งต้องนำไปพิจารณาตามขั้นตอนตามระเบียบและกฎหมาย สิ่งใดที่เป็นเรื่องเร่งด่วนและประเมินผลได้อย่างแท้จริง ก็จะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี สำหรับมาตรการเยียวยามีมาตรการเดิมอยู่แล้ว และได้เร่งให้ทางกระทรวงมหาดไทย สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งสำรวจความเสียหายทั้ง 30 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และวันนี้มีวิธีการตรวจสอบทางดาวเทียมได้ในเบื้องต้น โดยจะดำเนินการเยียวยาให้เร็วที่สุด
ส่วนสถานการณ์น้ำในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กำลังติดตามสถานการณ์ว่าจะสามารถพร่องน้ำออกด้านข้างได้หรือไม่ ซึ่งมีการระบายน้ำอยู่ที่ 2,600 ลูกบาศก์เมตร/วินาที โดยสามารถรองรับการระบายน้ำได้ไม่เกิน 2,700 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับว่าจะมีพายุเข้ามาเพิ่มเติมหรือไม่ แต่ทางรัฐบาลได้เตรียมพื้นที่เพื่อรองรับน้ำไว้แล้ว
ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมปีนี้จะไม่ซ้ำรอยน้ำท่วมใหญ่เหมือนปี 2554 ใช่หรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่าใช้คำว่าแน่นอนหรือไม่แน่นอน เพราะตนเองคาดการณ์ไม่ได้ ต้องดูสถานการณ์และสภาพอากาศว่าเป็นอย่างไร ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ แต่ต้องรู้จักปรับตัวและเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะโทษใครไม่ได้ และนี่คือประเทศไทยที่ต้องแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้ประชาชนยังมีความกังวลมวลน้ำที่ยังอยู่ทางภาคเหนือที่จะไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็มีความกังวล แต่ก็ต้องระบายออกด้านข้าง พร้อมยืนยันว่า มีความสุขในการลงพื้นที่วันนี้
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า รัฐบาลได้มีมาตรการผ่อนคลาย แต่จะให้ผ่อนคลายทั้งหมดก็ยังถือเป็นความเสี่ยงอยู่ จึงอยากขอให้ทำความเข้าใจว่า วันนี้ได้ผ่อนคลายไปมากแล้ว ถ้าสถานการณ์ดีขึ้นอีกก็จะผ่อนคลายมากขึ้น และไม่อยากให้กลับมาเริ่มต้นใหม่ที่ศูนย์อีกที่ต้องมีการล็อกดาวน์กันใหม่ ทุกอย่างอยู่ที่ทุกคนต้องช่วยกัน ซึ่งการล็อกดาวน์ที่ผ่านมานั้นถือว่าได้ผล ทำให้ลดการแพร่ระบาดได้ 20-30% และทุกอย่างจะคิดเองไม่ได้ ต้องฟังการประเมินทางด้านสาธารณสุข
ส่วนเรื่องการดูแลแรงงาน ผู้ที่ว่างงาน และกำลังหางานทำ ได้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไปช่วยพิจารณาว่า สภาพโรงงานปัจจุบันเป็นอย่างไร ซึ่งมีการพัฒนาไปมากแล้ว และเพื่อเป็นการรองรับแรงงานไทยที่จะเข้ามาทำงานในอนาคต และทำให้มีรายได้ที่มากกว่าแรงงานขั้นต่ำ. – สำนักข่าวไทย