DSI รับเรื่อง “ฮั้วเลือก สว.” เป็นคดีพิเศษ

ฮั้วเลือก สว.

6 มี.ค. – คณะกรรมการคดีพิเศษมีมติรับการฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 (1) คือเข้าข่ายการฟอกเงิน ด้วยมติเห็นชอบ 11 เสียง


นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ร่วมประชุมพิจารณาคดีเรื่องสืบสวนที่ 151/2567 กรณีการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่มีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่ไม่ได้เป็นไปด้วยสุจริตหรือเที่ยงธรรม เป็นคดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งเป็นการนัดประชุมครั้งที่ 2 ภายหลังส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ เป็นพิจารณาให้ได้ข้อยุติก่อนเสนอคณะกรรมการคดีพิเศษในวันนี้

โดยในช่วงการเปิดประชุม พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการ ได้รายงานว่า วันนี้มีผู้เข้าร่วมประชุม 19 คน ลาประชุม 3 คน ประกอบด้วย คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คน คือ พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอบสวนคดีอาญา และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน


ขณะที่คณะกรรมการโดยตำแหน่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ผู้แทนโดยตำแหน่ง ได้ส่งผู้แทน คือ พล.ต.ท.อภิชาติ สุริบุญญา ผู้บัญชาการกฎหมายและคดี ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้เข้าร่วมการประชุม แต่ถือว่าครบองค์ประชุมแล้ว จึงสามารถดำเนินการประชุมต่อไปได้ตามระเบียบวาระ

ทั้งนี้ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ในฐานะคณะกรรมการโดยตำแหน่ง ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมการประชุม ซึ่งต่างจากครั้งก่อนที่เดินทางมาร่วมประชุมด้วยตัวเอง ซึ่งผู้สื่อรายงานว่า จากการประชุมครั้งก่อน (25 ก.พ.68) ก็มีองค์ประชุมเท่ากับวันนี้ โดยคนที่ลาประชุมครั้งก่อน คือนายตำรวจทั้ง 3 คน ที่ลาประชุมในวันนี้เช่นกัน

นอกจากนี้นอกจากนี้ ยังมีกลุ่ม คณะ สว. สำรอง นำโดย พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. เดินทางมาที่กระทรวงยุติธรรมพร้อมป้ายไวนิล เพื่อส่งกำลังใจให้การประชุมโหวตรับคดีฮั้ว สว.67 เป็นคดีพิเศษของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ทั้งยังรอลุ้นฟังผลการรับเป็นคดีพิเศษอีกด้วย


ภายหลังการประชุม นายภูมิธรรม เวชยชัย แถลงข่าวร่วมกับ นายทวี สอดส่อง ระบุว่า คณะกรรมการคดีพิเศษมีมติรับการเลือก สว. เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 (1) คือเข้าข่ายการฟอกเงินด้วยมติเห็นชอบ 11 เสียง งดออกเสียง 3 ไม่เห็นชอบ 4 โดยยืนยันว่าไม่ใช่การแย่งงาน กกต. ทำเพราะต้องยอมรับความจริงว่ามีประชาชนมาร้องเรียนเรื่องดังกล่าวกับกรมสอบสวนคดีพิเศษดีเอสไอและหากไม่ดำเนินการก็อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่ทั้งนี้ยอมรับหนักใจกับการดำเนินการเรื่องดังกล่าวจึงย้ำในคณะกรรมการว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ กล่าวภายหลังประชุมพิจารณาคดีฮั้วเลือก สว.เป็นคดีพิเศษ หรือไม่ ว่า วันนี้พิจารณาคดีคณะกรรมการคดีพิเศษ ได้พิจารณาคดีตกค้าง เป็นคดีพิเศษหรือไม่ โดยในที่ประชุมมีการถกเถียงกันในหลายความเห็นโดยพิจารณาตามหลักการของกฎหมายอย่างครบถ้วน ซึ่งคดีนี้ เป็นคดีที่เกี่ยวพันกับสถาบันนิติบัญญัติ ที่สำคัญของประเทศ และเป็นคดีที่พี่น้องประชาชนให้ความสำคัญสนใจติดตาม

โดยเราได้พูดคุยกันและได้ข้อสรุปดังนี้ คือ การประชุมวันนี้บอร์ด กคพ.ได้พิจารณาข้อเท็จจริงกรณีที่มีผู้เสียหายมาร้องทุกข์กล่าวหาทางดีเอสไอ มีการกระทำความผิด การกระทำเข้าข่ายผิดกฎหมายตามคดีพิเศษหรือไม่ ดังนั้น วันนี้ที่ประชุม กคพ.ไม่ได้มีการประชุมในวาระ ได้มาซึ่งสว.แต่อย่างใด ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าการกระทำความผิดที่มีผู้มาร้องทุกข์มีลักษณะการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ที่มีลักษณะเป็นคดีพิเศษตามกฏหมายซึ่งสอดคล้องกับการได้มาซึ่ง สว. ในการใช้ทรัพย์สินเพื่อจูงใจว่าให้เลือกหรือไม่เลือกเป็นความผิดฐานฟอกเงินด้วย

นายภูมิธรรม ระบุว่า บอร์ด กคพ. ขอย้ำว่าการพิจารณาเป็นคดีพิเศษในครั้งนี้ ผ่านความเห็นชอบของผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากหลากหลายที่ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจ แทนคนใดคนหนึ่ง สะท้อนให้เห็นถึงความโปร่งใส ตรวจสอบได้ตามกฎหมายทั้งหมด และบอร์ด กคพ.ขอย้ำว่าการพิจารณาในวันนี้ไม่ใช่การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ กกต. กกต. ก็ทำงานของตนเองในการดูแลการจัดการการเลือกตั้ง เราก็มีหน้าที่ดูแลการดำเนินคดีอาญากับกลุ่มบุคคลที่กระทำความผิดตามกฏหมาย ในคดีพิเศษเท่านั้น ดังนั้นเป็นการประสานงานการทำงานความร่วมมือกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายของตนเองที่แตกต่างกันมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ประชาชน เราจะละเลยไม่ได้ เพราะจะเข้าข่ายความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และส่งผลเสียต่อประชาชน

รวมถึง ดีเอสไอ รับเรื่องนี้ ไม่ได้หมายความว่าถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทำความผิดทางกฎหมายแล้วแต่ต้องมีกระบวนการทางกฎหมายอีกมากมายในการที่จะบอกว่าเป็นจริง ดังนั้น ก็เปลี่ยนไปตามกระบวนการทางกฎหมายทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกกล่าวหาด้วย

นายภูมิธรรม ระบุว่า โดยสรุปแล้วในที่ประชุมองค์ประชุมทั้งหมด 18 คน มีมติชี้ขาดกรณีการสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคล หรือคณะบุคคลที่กระทำผิดเป็นอั้งยี่ ที่เกี่ยวกับการได้มาซึ่งวุฒิสมาชิก พ.ศ.2567 ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอมา ตามมาตรา 21 วรรค 1 แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ส่วนคดีคดีอาญาใดที่เกี่ยวข้องกับคดีพิเศษดังกล่าว ตามมาตรา 21 วรรค 2 เพื่อทำการสอบสวนต่อไป

ทั้งนี้ หากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พบการกระทำความผิดตาม พ.ร.ป.การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 มาตรา 47 วรรค 1 ให้แจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทราบตามอำนาจหน้าที่ โดยไม่ต้องมีมติดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมี 18 เสียง มีมติรับเป็นคดีพิเศษ 11 เสียง และไม่รับ 4 งดออกเสียง 3 เสียง เพราะบางท่านมรบทเกี่ยวข้องด้วยการชี้ขาดหลายเรื่องในคดีถัดไป

ส่วนมีความหนักใจหรือไม่ เมื่อถูกนำไปโยงกับประเด็นทางการเมือง นายภูมิธรรม ระบุว่าตนเองคิดว่าคณะกรรมการทุกท่านมีความหนักใจ เพราะเป็นประด็นเกี่ยวกับสถาบันนิติบัญญัติ และสาธารณะชนกำลังจับตามอง จึงได้กำชับว่าการพิจารณาให้ใช้ดุลยพินิจอย่างละเอียดรอบคอบ โดยอิงข้อมูลจากกฎหมายและข้อมูลต่าง ๆ และตัดสินให้ดีที่สุด การพิจารณาในครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของบุคคลหรือเรื่องการเมืองเราพิจารณาตามข้อกฎหมาย เพราะหลายคนกังวลใจว่าหากพิจารณาแล้วจะมีผลกับตัวเอง เชื่อว่าเราทำสิ่งที่รอบคอบแล้ว คุยกันทุกฝ่ายแล้ว ซึ่งเราตัดสินใจแล้วก็ต้องรับผิดชอบ และเป็นกระบวนการที่รับมา เพื่อตรวจสอบและท้ายที่สุดก็จะไปจบที่ศาล ซึ่งเป็นผู้ชี้ขาด

ขณะที่กังวลหรือไม่ที่มีรายชื่อพยานในคดีนี้ กว่า 1,200 คนหลุดออกไป นายภูมิธรรม ระบุว่า หลุดไปก็เป็นเรื่องหลุด ไม่ใช่เรื่องข้อเท็จจริง เมื่อไม่ใช่เรื่องข้อเท็จจริง เมื่อหลุดแล้วก็ให้หลุดไป และไม่กังวลกับผลโหวตในครั้งนี้ เพราะเมื่อโหวตไปแล้วก็ให้ที่ประชุมรับรอง

ทั้งนี้ หลังจากนี้จะตัองร่วมมือกับ กกต.ในการพิจารณาเรื่องนี้หรือไม่ นายภูมิธรรม ระบุว่า อย่าไปคิดว่าเราแตกแยก เรายังทำงานร่วมกันได้ คดีนี้ต่างฝ่ายต่างดำเนินการ อะไรที่เกี่ยวพันกันก็ประสานงานกัน

ด้านพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวถึงขั้นตอน หลังจากนี้ว่า การประชุมในวันนี้ได้รับเป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ มาตรา 21 วรรค 1 ซึ่งตามปกติแล้ว อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) สามารถชี้ขาดได้เลย แต่เนื่องจากมีข้อมูลบางประการที่มีข้อสงสัย ที่ต้องให้คณะกรรมการคดีพิเศษ ใช้เสียงกึ่งหนึ่งของผู้เข้าประชุม ซึ่งเสียงของคณะกรรมการส่วนใหญ่ได้ชี้ขาดแล้วว่าเป็นคดีพิเศษ ซึ่งไม่ต้องใช้ตามมาตรา 21 วรรค 2 โดยขั้นตอนต่อจากนี้ไป จะเป็นเหมือนหลักค้ำประกันให้กับอธิบดี ดีเอสไอ คือการรับเรื่องเป็นคดีพิเศษ และขอให้พนักงานอัยการมาร่วมสอบสวนด้วย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความยุติธรรม รวมถึงให้การปฏิบัติงานมีความโปร่งใส ส่วนขั้นตอนต่อไป เป็นเรื่องที่ดีเอสไอ จะจัดตั้งพนักงานสอบสวน เพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวน

เมื่อถามว่าคดีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ในชั้นสอบสวน หากมีการเรียกกกตมา จำเป็นจะต้องเข้ามาให้ข้อมูลหรือไม่ พันตำรวจเอกทวีกล่าวว่า ในส่วนที่เป็นของ กกต. ที่ผ่านมากกต.ก็ได้มีการประสานงาน กับ ดีเอสไอ ได้มีการทำหนังสือมา ซึ่งหนังสือฉบับนั้นยังไม่ได้มีการยกเลิก และในการทำงาน เนื่องจากกฎหมายมีการทับซ้อนกัน ก็อาจประสานงานกัน

เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าต่อจากนี้กกต.จะต้องมาให้ข้อมูลเองโดยไม่สามารถส่งหนังสือมาชี้แจงได้แล้วใช่หรือไม่ พันตำรวจเอกทวีกล่าวว่า ไม่ใช่ เพราะข้อหาที่เป็นฐานฟอกเงิน เกิดมาจากฐานอั้งยี่ และมีการอภิปรายในฐานความผิดอาญาอื่น ก็ต้องนำมาประกอบการพิจารณา ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของคณะ กรรมการสอบสวน ซึ่งที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้คณะกรรมการได้มีความเห็น และเมื่อเห็นว่าความจริงเป็นคดีพิเศษโดยอัตโนมัติแล้ว ในความผิดฐานฟอกเงิน แต่ยังมีความสงสัยในเรื่องรายละเอียด ว่ามูลค่าของทรัพย์สิน เกินกว่า 300 ล้านบาทหรือไม่ ซึ่งดีเอสไอ จะต้องไปดูเส้นทางการเงินและเส้นทางบุคคล ว่ามีตัวเลขเกิน 300 ล้านบาทหรือไม่ จึงต้องให้คณะกรรมการพิเศษเป็นผู้ชี้ขาด ซึ่งคำชี้ขาดนี้ถือเป็นที่ยุติ และการเป็นคดีพิเศษไม่ใช่หมายความว่า จะทำคดีต่างจากที่อื่นแต่จะมีผู้เชี่ยวชาญในการสอบสวน และที่สำคัญคือการทำตามพยานหลักฐาน ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ส่วนที่ บางฝ่ายมีความเห็นว่าคดีนี้เป็นหน้าที่ของกกต. แต่การที่กรมสอบสวนคดีพิเศษรับคดีมา ต้องการดึงเป็นเรื่องทางการเมือง พันตำรวจเอกทวี กล่าวว่า ตอนนี้กกต.ก็ทำอยู่ในบทบาทของเขา เพราะหนังสือตอบรับของกกต ก็ได้ตอบอย่างชัดเจนแล้ว ว่าความผิดในคดีอาญาอื่นๆกกต.ไม่มีอำนาจ

เมื่อถามถึงกรณีที่ สว. ออกมาแสดงความเห็นว่า การเลือกตั้ง สว.มาโดยวิธีสุจริตชอบธรรม ไม่มีความผิดตามที่กล่าวหาดีเอสไอต้องทำเรื่องนี้โดยละเอียดหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดการตั้งข้อสงสัยในสภา พันตำรวจเอกทวีกล่าวว่า สว.มีกระบวนการตรวจสอบได้อยู่แล้วเราก็เคารพท่าน แต่วันนี้คณะกรรมการ ไม่ได้มีฐานทางการเมืองเลย ซึ่งประธานในที่ประชุมก็ได้พูดว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญ กระทบกับความมั่นคง ถ้ามีการครอบงำอำนาจนิติบัญญัติ ก็จะส่งผลกระทบต่อหลายๆเรื่อง ซึ่งเราก็ทำในความผิดฐานฟอกเงิน ส่วนจะขยายไปเป็นคดีอั้งยี่หรือคดีอื่นๆก็คงจะต้องมีการพิจารณากันอีกครั้ง เรายินดีหากสวจะมาให้การหรือแสดงความบริสุทธิ์ เราก็พร้อมที่จะรับ

เมื่อถามว่าหนักใจหรือไม่ที่มองว่าเป็นตำบลกระสุนตก พันตำรวจเอกทวีกาวาเรื่องนี้ต้องให้นายภูมิธรรมเป็นผู้ตอบ

โดยภายหลังที่นายภูมิธรรม และ พ.ต.อ.ทวี ได้แถลงข่าวเสร็จ ได้เดินไปพบกับกลุ่ม สว.สำรองที่นำโดย พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่มาปักหลักริฟังผลการพิจารณาที่ชั้นล่างของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งได้มอบดอกไม้ให้กำลังใจให้กับนายภูมิธรรม และ พ.ต.อ.ทวี

นายภูมิธรรม จึงกล่าวขอบคุณที่มาให้กำลังใจ พร้อมย้ำว่า การทำงานครั้งนี้ด้วยความยากลำบาก และมีผลกระทบต่อหลายส่วน ซึ่งต้องคำนึงถึงหลักข้อเท็จจริง ขณะเดียวกันเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ และกฎหมายได้ถูกพิจารณาอย่างถี่ถ้วน และยืนยันว่า การพิจารณาในครั้งนี้ไม่ได้อิงอะไร นอกจากความเป็นจริง และกฎหมาย หลังจากนี้เราต้องทำหน้าที่ไต่สวนทำความจริงให้ปรากฏ ส่วนคนที่จะชี้ขาดคือศาล ตนในฐานะที่เป็นประธาน กคพ. รับฟังทุกอย่างเต็มที่ และให้ทุกคนพิจารณาด้วยดุลยพินิจอย่างรอบคอบ ก่อนลงมติ และรับรองโดยที่ประชุม.-313.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

รฟท.เร่งกู้รถไฟตกรางที่กุยบุรี คาดเสร็จภายในเที่ยงคืนนี้

ประจวบคีรีขันธ์ 9 ส.ค. – รฟท.เร่งกู้รถไฟตกรางที่กุยบุรี คาดเสร็จสิ้นภายในเที่ยงคืนนี้ ด้าน พฐ.ร่วมตรวจหาสาเหตุตกรางกับนายช่างรถไฟ สันนิษฐานเบื้องต้นนอตล็อกประแจสับรางหลุด ส่วนผู้บาดเจ็บ 10 ราย ออกจาก รพ.แล้ว ความคืบหน้าเหตุรถไฟขบวนด่วนพิเศษ สุไหงโก-ลก ปาดังเบซาร์ ปลายทางสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ประสบอุบัติเหตุตกราง ก่อนถึงสถานีรถไฟกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ประมาณ 100 เมตร เหตุเกิดเมื่อช่วงตี 5 วันนี้ โดยตู้โดยสารที่เกิดเหตุคือ 3 ตู้สุดท้าย 10-12 ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 10 คน นำส่งโรงพยาบาลกุยบุรี ผู้โดยสารตู้ที่ตกราง เจ้าหน้าที่จัดรถบัสนำส่งต่อไปยังจุดหมายปลายทาง ส่วนตู้โดยสารที่ไม่ตกราง เดินทางต่อจนถึงสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ ล่าสุดตำรวจ สภ.กุยบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ลงพื้นที่ตรวจหาสาเหตุรถไฟตกราง ร่วมกับนายช่างวิศวกรของการรถไฟฯ อีกครั้ง จากการตรวจสอบสันนิษฐานเบื้องต้นคาดว่าเกิดจากนอตยึดอุปกรณ์ประแจตัวสับรางหลุด ขณะที่ขบวนรถไฟวิ่งผ่านไปแล้ว 9 ตู้ เหลือ 3 ตู้สุดท้าย ทำให้ไม่สามารถบังคับให้วิ่งตามไปด้วยกันได้ จึงถูกกระชากหลุดด้วยแรงเฉื่อยของความเร็วรถไฟแล้วตกจากราง หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ […]

“บุ๋ม” รับผ้ายันต์-เหรียญครุฑ หลวงพ่อวราห์ แจกทหารชายแดน

9 ส.ค. – “บุ๋ม ปนัดดา” เริ่มภารกิจโฆษกจิตอาสา ศบ.ทก. วันแรก เข้ารับผ้ายันต์-เหรียญครุฑ จากหลวงพ่อวราห์ นำไปมอบให้ทหารชายแดนไทย-กัมพูชา สร้างขวัญกำลังใจแนวหน้า บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี โฆษกจิตอาสา ศบ.ทก. ที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ หรือบิ๊กเล็ก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่งตั้ง เข้าพบหลวงพ่อวราห์ พระเทพวชิระวิทยานุสิฐ วราห์ ปุญฺญวโร ตำนานผู้สร้างพญาครุฑ เพื่อรับผ้ายันต์และเหรียญครุฑ ไปแจกให้ทหารตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจทหารแนวหน้า บุ๋ม ปนัดดา กล่าวว่า ได้รับการประสานจากหลวงพ่อวราห์ ให้เข้ามารับผ้ายันต์และเหรียญครุฑ นำไปมอบให้กับทหารชายแดน เพราะทหารต้องการขวัญและกำลังใจ ดังนั้น อะไรที่ทำให้ทหารอุ่นใจและมีกำลังใจก็จะทำให้ สำหรับผ้ายันต์หลวงพ่อวราห์ แห่งวัดโพธิ์ทอง บางมด กรุงเทพฯ ผ้ายันต์รุ่นบูชาครู จำนวน 2,000 ผืน และเหรียญครุฑ รุ่นเฉพาะกิจ จำนวน 2,000 เหรียญ ที่บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี […]

“มาริษ” เผยเห็นภาพชัดขึ้น หลังลงพื้นที่เสียหาย จ.สุรินทร์

สุรินทร์ 9 ส.ค.- “มาริษ” เผยเห็นภาพชัดขึ้น หลังลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ สำรวจความเสียหายจากการโจมตีของกัมพูชา เตรียมใช้เป็นข้อชี้แจงนานาชาติ กัมพูชาใช้อาวุธระยะไกลโจมตีพื้นที่พลเรือน ยันพร้อมประสานให้ ICRC – UN มาดูพื้นที่ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายหลังการลงพื้นที่สำรวจความเสียหายที่จังหวัดสุรินทร์ จากเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา ว่า เรื่องข้อมูลของการละเมิดสิทธิ และละเมิดกฎสหประชาชาติกฎหมายระหว่างประเทศของกัมพูชา เรามีข้อมูลครบถ้วนอยู่แล้ว เมื่อวันนี้ได้มาเห็นสภาพจริง และมาเก็บข้อมูลเพิ่มเติม ได้เห็นภาพนอกเหนือจากข้อมูล ก็เป็นภาพที่เห็นชัดเจน รวมถึงการบรรยายสรุปของผู้ว่าราชการจังหวัด เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ที่อธิบายให้เห็นการโจมตีเป้าหมายที่ห่างไกลออกจากเขตแดน ซึ่งตนเองใช้เป็นข้อชี้แจงกับนานาชาติ และองค์กรสหประชาชาติว่าการใช้ประเภทอาวุธระยะไกลของฝ่ายกัมพูชาจะทำให้เกิดปัญหา และจะทำให้ประชาชนพลเรือนได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งเป็นการโจมตีเป้าหมายไปยังพลเรือน แต่ยังไม่สามารถเข้าไปดูพื้นที่กับระเบิด และวันนี้ทราบว่ามีทหารเหยียบกับระเบิดที่วางอยู่ตามแนวชายแดน โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจง และแสดงความผิดหวัง และไม่ปราถนาที่จะเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงการเจรจา เพื่อแก้ไขปัญหาระหว่างกันให้สำเร็จอย่างยั่งยืน ส่วนนี้เราจะแสดงจุดยืนที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้อาวุธ หรือทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา อย่างชัดเจน นายมาริษ กล่าวว่าการเดินทางมาครั้งนี้ ได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นในสิ่งที่เราเรียกร้องมาโดยตลอด ว่าเราทำตนอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และได้แสดงตนให้ประชาคมโลก […]

ทบ.ชี้เหตุกำลังพล ร้อย.ร.111 เหยียบกับระเบิด สะท้อนกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธก่อน

กรุงเทพฯ 9 ส.ค. – โฆษก ทบ. ชี้เหตุกำลังพล ร้อย.ร.111 เหยียบกับระเบิดขณะลาดตระเวนเส้นทาง พื้นที่รอยต่อบ้านโดนเอาว์-บ้านกฤษณา จ.ศรีสะเกษ บาดเจ็บ 3 นาย สะท้อนกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธก่อน พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า วันที่ 9 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 กรณีกำลังพลของหน่วยกองร้อยทหารราบที่ 111 เหยียบกับระเบิด ขณะทำการลาดตระเวนเส้นทาง เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่รอยต่อบ้านโดนเอาว์-บ้านกฤษณา จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ได้แก่ 1. จ่าสิบเอก ธานี พาหา ตำแหน่งผู้บังคับหมู่ป้องกัน บาดเจ็บรุนแรง ข้อเท้าซ้ายท่อนล่างขาด2. พลทหาร ภาคภูมิ ไชยสุระ ตำแหน่งพลปืนเล็ก บาดเจ็บบริเวณแขนและด้านหลัง3. พลทหาร ธนันชัย ไกรวงค์ […]