นายกฯ ฝากรายการใหม่เทปแรก ไล่เรียงนโยบายแบบ Exclusive

กทม. 2 ก.พ. – “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” นักจัดรายการมือใหม่​ ฝากเนื้อฝากตัว หวังใจถึงใจกับประชาชน​ ไล่เรียงภารกิจนโยบายหลายเรื่องแบบเบื้องหลัง Exclusive 30 บาทรักษาทุกที่-บ้านเพื่อคนไทย-แก้ฝุ่น-พ.ร.ก.ไซเบอร์ ยันเงินหมื่นเฟส 3 มาแน่ รอคลังเคาะ นายกฯ รับเสียใจถูกบูลลี่เรื่องแต่งตัว​ แต่จะแต่งแบบนี้ไปทำงานให้ประชาชนมีความสุข


นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จัดรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” ครั้งแรก ​โดยจะมีเป็นประจำทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน เริ่มเล่าที่มาที่ไปเกี่ยวกับการทำรายการ เพื่อให้ประชาชนได้รับฟังจากตัวเอง เป็นรายการพิเศษสำหรับประชาชน ในรูปแบบที่ไม่เคยทำที่ไหนมาก่อน ไม่เคยให้สัมภาษณ์แบบนี้​ เป็นแบบ Exclusive นำเบื้องหลังมาเล่าให้ฟังว่าได้พบเจออะไรมาบ้าง ได้พูดอธิบายที่มาที่ไปของนโยบายและขั้นตอน แต่ละนโยบายว่าไปถึงไหนแล้ว

นายกรัฐมนตรี เล่าถึงเรื่องแรกเกี่ยวกับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ครอบคลุมทั่วประเทศไทย 77 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งรู้สึกดีใจมากที่ประชาชนไม่ต้องต่อคิวรอตั้งแต่ 05.00 น. เพื่อเข้ารักษา เพียง 15 นาที เสียเวลา 1 วันเต็ม ซึ่งผลตอบรับกลับมาดีมาก หากมีระบบตรงไหนไม่ตอบสนองสามารถแจ้งมายังรัฐบาลได้


นายกรัฐมนตรี ยังเล่าถึงงานวันเด็กที่ผ่านมา ถึงเป็นปีแรก ที่ได้เจอเด็กๆ ทั่วประเทศ และได้ดำเนินนโยบาย odos ให้โอกาส ได้เรียนในสมัยรัฐบาลไทยรักไทยเคยทำนโยบาย 1 อำเภอ 1 ทุน จึงพิจารณางบประมาณเพื่อนำไปสู่การขยายและ Kick Off นโยบาย 1 อำเภอ 1 ทุน การศึกษาภาคฤดูร้อน หรือ odos ซึ่งถือเป็นโอกาส ให้เด็กได้นำความรู้ไปทำอะไรได้อีกมาก ให้เด็กที่ไม่ได้เรียนเก่งระดับท็อป เหมือนตนเองได้ไปเรียน Summer Camp และเป็นการสร้างโอกาส แม้ไม่ได้เห็นผลใน 1 ปีแต่เห็นผลแน่นอนในอนาคต

นายกรัฐมนตรี ยังเล่าถึงการเปิดโครงการบ้านเพื่อคนไทยเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 ซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก โดยอยากให้คนที่มีศักยภาพในการทำงานมีกำลังใจ มีที่อยู่ และมีความภูมิใจ ที่มีบ้านของตัวเอง จากการทำงานมีเงินเดือน ออกไปทำงานอย่างสดชื่น รัฐบาลมีคนมีศักยภาพมากขึ้นสุขภาพจิตดีขึ้น แข็งแรงขึ้นทั้งกายและใจ โครงการนี้ตอบโจทย์ปัจจัย 4 และเป็นแรงบันดาลใจ ผลักดันให้คนสู้งานต่อ อยากทำงานเก็บเงินซื้อในสิ่งที่ตัวเองฝันไว้

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนดีใจมาก ทุกฝ่ายของการเมือง​ ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน​ ​สว. เห็นตรงกัน ว่าเป็นการสร้างโอกาสสร้างความเท่าเทียม ไม่แบ่งแยก รัฐบาลสามารถใช้กฎหมายดูแลทุกคนได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ทุกแรงที่ต่อสู้ ผลักดันมา 20 ปี ถ้าไม่ใช้ทุกแรงก็ไม่สำเร็จ จึงเป็นความภูมิใจของทุกคน


นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการเข้าร่วมประชุม World Economic forum Annual Meeting 2025 ที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ 20-24 มกราคม 2568 ว่า​ ทำให้รู้ว่าการมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สามารถดึงความสนใจของคนได้จริง มีโอกาสสามารถผลักดันตัดสินใจเรื่องใดๆ ได้มีคนมาประชุมและขอคุยด้วย และมีผลที่ดี หาเงินเข้าประเทศได้อย่างมากมาย เช่น การลงนามสัญญาการค้าเสรี ดังนั้นปีหน้าก็จะไปอีกแน่นอนจะเอารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไปด้วย โดยจะมีการเตรียมการล่วงหน้าในแต่ละกระทรวงที่มีนโยบายเกี่ยวข้อง

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการจัดที่ Thailand Reception ในการประชุมดังกล่าว ซึ่งจองข้ามปีตั้งแต่สมัยที่นายเศรษฐา​ ทวีสิน​ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี​ เมื่อจัดแล้วทั่วโลกชม เพราะหลายคนชื่นชอบอาหารไทย ได้รับผลตอบรับที่ดี นอกจากนี้มีโอกาสได้ไปเดินซูเปอร์มาเก็ต พบสินค้าไทยไปขาย

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ว่าได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำชับทุกกระทรวง ให้ดำเนินการตามกฎทุกอย่างอย่างเคร่งครัดเพราะมีการพยากรณ์สถานการณ์ล่วงหน้า​ จึงจะต้องทำมาตรการให้เข้มข้นเพื่อบรรเทาสถานการณ์มากที่สุด แต่เมื่อถึงสถานการณ์จริง ทุกคนไม่มีความสุขตัวเองก็ไม่แฮปปี้ เพราะมีลูกเล็ก 2 คนหลานๆ เต็มบ้านไปโรงเรียนไม่ได้ แต่ละกระทรวง ก็ทำงานอย่างเต็มที่ทุกวิถีทาง นโยบายใช้รถไฟฟ้าฟรีทำให้รถไม่ติด ลดจำนวนรถยนต์ 5 แสนคันต่อวัน ทำให้ฝุ่นลดน้อยลง​ด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประสานงานติดต่องานกับต่างประเทศ ว่าต้องมีลำดับขั้นขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการพูดคุยโดยใช้ Connection ส่วนตัวกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ส่วนตัวก็คุยกับผู้นำประเทศอื่นเลย แล้วแต่หัวข้อบางครั้งเรื่องวิกฤติก็สามารถช่วยกันได้

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง การโอนเงินหมื่นเฟส 2 ให้ผู้สูงอายุ 3 ล้านคน เมื่อ 27 มกราคม 2568 โดยยืนยันว่าโครงการเฟส 3 มาแน่นอนต้องรอให้กระทรวงการคลังยืนยันช่วงเวลาอีกครั้ง

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรีผ่านร่างพ.ร.ก. ปราบอาชญากรรมเทคโนโลยีว่า ว่าเป็นเรื่องที่จริงจังมาก ที่ประเทศอาเซียนให้ความสำคัญ สามารถมีสิทธิ์จับคนที่มาตั้งเสาอากาศดักในเขตแดนเพื่อดึงสัญญาณมือถือของคนไทย เอาเบอร์เหล่านั้น ไปทำบัญชีม้า​ โทรกลับมาหลอกคนไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่รอไม่ได้บางคนร้องไห้ถึงขั้นจบชีวิต เพราะเก็บเงินมาทั้งชีวิตแล้วเหลือ 0 จึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องออก เป็นพ.ร.ก. รีบบังคับใช้ เพื่อทำให้ธนาคารและเจ้าของกิจการมือถือมีส่วนรับผิดชอบ และตัดวงจรนี้ให้เด็ดขาดจริงๆ

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกำลังใจในทุกๆ วันนี้ว่า หากโดนต่อว่า เสียใจและรู้สึกอย่างแน่นอน แต่จมไม่ได้ เพราะงาน รออยู่เยอะมาก
“โดนว่านาทีนี้​ นาทีหน้าต้องไปประชุมแล้วจึงพยายามมองว่า หัวข้อไหนที่ถูกต่อว่าเช่นประชาชนไม่พอใจ เรื่องการจัดการบางเรื่อง ก็กลับมาเรียกประชุม จัดการแต่ละกระทรวง แต่หากเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นเช่นถูกบูลลี่ มาตลอด เรื่องการแต่งตัว เสื้อผ้าหน้าผมก็ไม่ได้คิดอะไร หากนโยบายต่างๆทำสำเร็จความภูมิใจในความสำเร็จ ของดิฉันคือประชาชน ที่มีความสุขมากกับนโยบายที่ได้ไปชีวิตที่ดีขึ้น จากสิ่งที่นโยบายสำเร็จ และขอบคุณรัฐบาลขอบคุณนายกฯได้เงินหมื่นต่อยอดขายของได้เยอะขึ้น หมดเกลี้ยง มีแต่คนมาจับจ่ายใช้สอย​ คนซื้อดีใจคนขายก็ดีใจ หรือขอบคุณมาก 30 บาทเปลี่ยนชีวิต มันเติมเต็ม และรู้สึกว่า ฉันก็จะแต่งตัวแบบนี้แหละไปทำงานแบบนี้ให้ประชาชนมีความสุข เพราะเป็นฉันก็อย่างนั้นล่ะค่ะ” นางสาวแพทองธารกล่าว

ช่วงท้ายรายการ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า หวังว่าประชาชนจะได้ยินได้ฟังอะไรที่เป็นความรู้หรือ Entertain สนุกสนาน จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยเดือนหน้าเจอกันใหม่ จะได้เข้าใจใจถึงใจ ส่งใจถึงใจกันมากขึ้นว่าใจนายกรัฐมนตรีจริงๆ คิดอะไรให้กับประชาชนบ้าง อยากเล่าอะไรให้ประชาชนบ้าง และขอฝากติดตามนักจัดรายการมือใหม่ด้วย.-319​ -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

EOD ลุยค้นหาจรวด หลังชาวบ้านแจ้งเจอต่อเนื่อง

13 ส.ค. – EOD ลุยค้นหา-เก็บกู้จรวดในพื้นที่บุรีรัมย์-ศรีสะเกษ หลังชาวบ้านแจ้งเจอต่อเนื่อง ขณะที่คณะ ICRC ลงพื้นที่เก็บข้อมูลผลกระทบเหตุปะทะ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด EOD ลงพื้นที่ตรวจสอบไร่ยางพาราของชาวบ้านและอีกหลายจุด ในเขต ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบหลุมต้องสงสัยอยู่ในที่ดินของตัวเอง จากการตรวจสอบพบสะเก็ดระเบิด และอีกหลายจุดพบเป็นหลุมคล้ายหลุมจรวด BM21 ที่ตกลงมา เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และต้องใช้ความระมัดระวัง ขณะที่ชาวบ้านที่เพิ่งเข้ามาอยู่บ้าน ยังไม่มั่นใจกับสถานการณ์ โดยเฉพาะหลังมีทหารเหยียบทุ่นระเบิดเป็นรายที่ 5 EOD เร่งตรวจสอบ–กู้ระเบิดกระสุนปืนใหญ่ชายแดน ส่วนที่ศรีสะเกษเจ้าหน้าที่ EOD สนธิกำลัง ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีพบกระสุนปืนใหญ่ตกในเขต ต.เสาธงชัย และ ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดน เบื้องต้นพบ 7 จุด บริเวณสวนยางพาราและใกล้เขตชุมชน โดยส่วนใหญ่เป็นลูกกระสุนปืนใหญ่ขนาด 100 มิลลิเมตร เจ้าหน้าที่ได้ทำการขุดตรวจพิสูจน์ พบว่าหลายลูกระเบิดไปแล้ว เหลือเพียงเศษซาก และยังพบอีก 1 จุดในพื้น […]

อึ้งพระอยู่กับสีกา เปิดบนรถเจอกองทิชชูใช้แล้ว

สกลนคร 13 ส.ค. – วงการผ้าเหลืองฉาวอีก ตำรวจตรวจรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง พบพระกับสีกาอยู่ด้วยกัน 2 ต่อ 2 คุยไปคุยมา สุดท้ายไปจบที่ลาสิกขา หลังตำรวจ สภ.ขมิ้น จ.สกลนคร ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน พบรถเก๋งต้องสงสัยสีดำ จอดผิดปกติบริเวณ ริมคลอง บ.พาน ต.ขมิ้น อ.เมือง จ.สกลนคร เมื่อเข้าไปตรวจสอบ ตำรวจต้องอึ้ง เมื่อเจอพระอยู่กับสีกา 2 ต่อ 2 ในรถ ต่อมาทราบว่า คือ พระชัยณรงค์ อายุ 53 ปี สังกัด วัดแห่งหนึ่ง อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ จึงเชิญตัวไปยังวัดใกล้เคียงที่เกิดเหตุ เพื่อทำพิธีลาสิกขา และนำตัวมาตรวจปัสสาวะ ผลไม่พบสารเสพติด แต่รถที่พระเเละสีกาดังกล่าวอยู่ด้วยกัน พบเป็นรถที่ถูกสวมทะเบียน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตรวจยึดไว้เพื่อตรวจสอบ คืบหน้าล่าสุด ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยัง สภ.ขมิ้น พบรถเก๋งคันดังกล่าวจอดอยู่บริเวณสถานที่เก็บของกลาง กระจกด้านข้างและด้านหลังติดฟิล์มดำสนิท แต่ด้านหน้าฟิล์มใสมองเห็นถึงภายใน ที่เบาะนั่งข้างคนขับ ยังพบกองจีวรของทิดชัยณรงค์ […]

สถานการณ์ชายแดนสุ่มเสี่ยงปะทะรอบ 2

สุรินทร์ 13 ส.ค. – กระแสข่าวจากหลายฝ่ายยืนยันตรงกันว่าระยะ 2 วันนี้ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จะเพิ่มความตึงเครียด สุ่มเสี่ยงที่จะมีการปะทะรอบ 2 ฝ่ายปกครอง จ.สุรินทร์ จึงแจ้งเตือนไปยังกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ให้ลูกบ้านเตรียมพร้อมรองรับเหตุฉุกเฉิน ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศ ในหมู่บ้านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ใกล้กลุ่มปราสาทตาเมือน พบว่า หลายครอบครัวเพิ่งกลับเข้าพื้นที่ 1-2 วัน หลังอพยพหนีภัยการสู้รบในห้วงวันที่ 24 – 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ได้รับข่าวไม่สู้ดีนัก เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง แจ้งให้เตรียมความพร้อม เก็บสัมภาระไว้เพื่อรองรับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงการปะทะ รอบ 2 ซึ่งอาจรุนแรงมากกว่ารอบแรก ทำให้ชาวบ้านหลายคนต่างตื่นตระหนก ต้องการอพยพไปอยู่นอกพื้นที่ แต่เมื่อผู้นำหมู่บ้านทำความเข้าใจ ก็คลายความกังวลลงบ้าง โดยสื่อสารข้อความจากนายอำเภอพนมดงรักว่า รอให้มีเสียงปะทะกันเกิดขึ้นก่อน จึงให้อพยพ ซึ่งชาวบ้านก็เชื่อฟัง เพราะส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะอพยพไปที่ไหน เพราะยังไม่มีการเปิดศูนย์พักพิงชั่วคราว ขณะที่หญิงคนหนึ่งติดอยู่ในพื้นที่สู้รบ ใกล้กลุ่มปราสาทตาเมือนตลอดห้าวัน เพราะเป็นห่วงวัวที่เลี้ยงไว้ จึงอาศัยอยู่ในกระต๊อบพร้อมญาติรวมสี่คน และประเมินสถานการณ์ว่า น่าจะปลอดภัย เพราะวิถีกระสุนไปตกไกลกว่า จึงได้ยินเสียงปะทะอย่างชัดเจน […]

คุมตัว “ลุงพล” ส่งเรือนจำ ระหว่างรอคำสั่งขอประกันตัว

มุกดาหาร 13 ส.ค.- คุมตัว “ลุงพล” ส่งเรือนจำมุกดาหาร ระหว่างรอคำสั่งขอประกันตัวจากศาลฎีกา หลังศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุก 26 ปี คดีน้องชมพู่ จากกรณีศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาเพิ่มโทษให้จำคุก “ลุงพล” 26 ปี ฐานเจตนาฆ่าเด็ก พรากผู้เยาว์ และอำพรางศพ ขณะที่ “ป้าแต๋น” พิพากษายืนยกฟ้อง ในคดีฆาตกรรม น้องชมพู่ ทั้งนี้ภายหลัง ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ “ลุงพล” ได้ยื่นขอประกันตัว โดยศาลจังหวัดมุกดาหาร เสนอไปยังศาลฎีกา ล่าสุด ช่วงเย็นที่ผ่านมา ศาลฎีกายังไม่มีคำตอบลงมาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ ทำให้ “ลุงพล” ถูกคุมตัวไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดมุกดาหาร ระหว่างรอคำสั่งขอประกันตัวจากศาลฎีกา ย้อนไปคดีนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2563 น้องชมพู่ วัย 3 ขวบ หายไปจากบ้านพักภาย ในหมู่บ้านกกกอก ทำให้ชาวบ้านมากกว่า 200 ชีวิต รวมถึง ตัวลุงพล ช่วยกันออกตามหา […]