กรุงเทพฯ 16 ส.ค. – นักวิชาการด้านศาสนา แนะสายมู ควรมูอย่างมีสติ “ครูกายแก้ว” เป็นเพียงเรื่องเล่าในตำนาน ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ามีที่มาอย่างไร ขณะที่คนดังขอไม่ยุ่ง และไม่เชื่อ “ครูกายแก้ว”
จากจุดเริ่มต้นของตั้งแต่ที่รถบรรทุกรูปปั้นขนาดใหญ่มีขนาดสูงเกินกว่าสะพานลอยคนข้าม ไม่สามารถผ่านไปได้ บริเวณรัชดาภิเษก 36 โดยภายหลังพบว่า รูปปั้นขนาดใหญ่ยักษ์มีปีก ดวงตาแดง เขี้ยวสีทอง มีลักษณะคนกึ่งนกคือ “ครูกายแก้ว” จนมีพิธีบวงสรวงเบิกเนตรไป เมื่อวันที่ 13 ส.ค.
ประเด็นนี้ก็ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง กระทั่งโลกออนไลน์ต่างเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ภายหลังจากที่มีการแชร์โพสต์ของ “บรรดาลูกศิษย์ครูกายแก้ว” ที่ต่างออกมาตามหา ลูกหมา, ลูกแมว, ลูกกระต่าย, ลูกไก่ ไปจนถึงลูกสัตว์ต่างๆ มีการตามหาเด็กทารกหรือเด็กไม่สมบูรณ์ด้วย โดยมีการอ้างว่า จะนำไปบูชายัญถวายครูกายแก้ว เนื่องจากเชื่อว่ามีความบริสุทธิ์ จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
วันนี้บริเวณลานสักการะของโรงแรม เดอะบาซาร์ แบงค็อก (The Bazaar Hotel Bangkok) ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งรูปปั้น ครูกายแก้ว มีการล้อมรั้วปิดกั้นพื้นที่โดยรอบ และติดประกาศห้ามเข้าตั้งแต่เวลา 07.00-17.00 น. โดยจะเปิดให้เข้าสักการะได้ในช่วงเย็น หลังเวลา 17.00 น. เป็นต้นไป
แต่ตลอดทัังวัน ยังคงมีผู้ศรัทธาจากหลายพื้นที่ ทยอยเดินทางเข้ามาสักการะอย่างต่อเนื่อง แม้จะไหว้ได้แค่จากด้านนอกก็ตาม พนักงานบริษัทเอกชนรายหนึ่ง เดินทางมาจากนนทบุรี เพื่อนำผลไม้ และเครื่องดื่มมาไหว้ หลังจากเมื่อ 2 วันก่อน เคยมาไหว้ขอพรเรื่องโชคลาภและการงาน แล้วสมหวัง เช่นเดียวกับหญิงชาวสุรินทร์ ที่นั่งรถเมล์มาจากรามคำแหง เพื่อนำองุ่นมาถวาย หลังจากเพิ่งมาร่วมพิธีบวงสรวง และเบิกเนตรครูกายแก้วไปเมื่อวันอาทิตย์ โดยส่วนตัวศรัทธาและเชื่อว่า ครูกายแก้ว เป็นนกการเวกในตำนาน มีความศักดิ์สิทธิ์เรื่องโชคลาภและหน้าที่การงาน จึงกลับมาขอพรอีกครั้ง
ขณะที่ อ.จตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการด้านพุทธศาสนา บอกว่า ครูกายแก้ว เป็นเพียงเรื่องเล่าตามความเชื่อในตำนาน ไม่ได้มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือว่าแท้จริงแล้วมีที่มาอย่างไร ส่วนเรื่องเล่าที่บอกว่า มีที่มาจากพระสงฆ์รูปหนึ่งเดินทางไปธุดงค์ปฏิบัติธรรม ทำสมาธิที่ปราสาทนครวัดนครธม ประเทศกัมพูชา และได้เรียนวิชาอาคมของครูกายแก้วสืบต่อมา ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะถ้าไปในช่วงเกิดสงคราม คงถูกกับระเบิดเสียชีวิตไปแล้ว หรือถ้าไปช่วงหลังสงคราม ที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด ไม่สามารถเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม หรือทำสมาธิได้ และที่เล่ากันว่า ครูกายแก้ว เป็นอาจารย์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรเขมรโบราณ ยิ่งไม่ใช่ เพราะไม่มีหลักฐานยืนยัน ส่วนตัวมองว่า ครูกายแก้ว เป็นเพียงรูปปั้น ที่สร้างขึ้นจากจินตนาการตามความเชื่อของบางกลุ่มคน ไม่ใช่เทพ แต่เป็นปีศาจ มีลักษณะคล้ายกับเหมือนตัวกากอยด์ของฝั่งยุโรป

พร้อมเน้นย้ำว่า สายมูทั้งหลาย ควรมูอย่างมีสติ ใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองว่า มูแบบไหนดี หรือไม่ดี ไม่ควรมูในรูปแบบที่ละเมิดกฎหมาย สร้างความความเดือดร้อน หรือทำเรื่องผิดศีลธรรม เช่น การนำสุนัขและแมวไปบูชายัญ มันล้าหลัง ป่าเถื่อน และอำมหิต มันแสดงถึงความไม่ศิวิไลในการทำบุญ ทางที่ดีควรศรัทธาในคำสอนหรือปรัชญามากกว่า จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของการตลาดธุรกิจวัตถุมงคล
จิตแพทย์ ชี้ความเชื่อครูกายแก้ว อาจไม่ใช่เรื่องจริง
ด้าน นพ.ยงยุทธ วงค์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีนี้ว่า เหมือนกับความเชื่อทั่วไปที่เกิดขึ้นในคนที่มีความไม่มั่นคงทางจิตใจ ต้องนำเรื่องของความเชื่อเข้ามาช่วยสนับสนุน ความคิดและการกระทำ เทคนิคที่จะทำให้ความเชื่อนั้น น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น คือ การสร้างสตอรี่ หรือเรื่องราวมาผนวกกัน เหมือนกับจตุคามรามเทพ หรือ ตุ๊กตาลูกเทพ โดยคราวนี้จะเห็นว่า มีการอ้างว่า ครูกายแก้ว มาจากเขมร หรือเป็นอาจารย์ของท่านใดก็ตาม เรื่องนี้ต้องแยกออกจากกันว่า สตอรี่คือการสร้างเรื่องราว อาจไม่ใช่ข้อเท็จจริง เพียงแต่เสริมเติมแต่งให้คนเกิดความเชื่อ และศรัทธา
ดังนั้นอยากให้ทุกคนไตร่ตรองก่อนจะเชื่อสิ่งใด เพราะต้องเข้าใจ ว่าทุกครั้งที่คนเราประสบปัญหา จะมีคนอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ 1. มุ่งแก้ไขปัญหาโดยปราศจากความเชื่อ คนกลุ่มนี้ไม่น่าเป็นห่วง 2. มีแต่ความเชื่อแต่ไม่มุ่งแก้ไข คนเหล่านี้จะมีพฤติกรรม อยู่เฉยๆ จนสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายไป หากไม่มีอะไรร้ายแรง ก็จะเชื่อว่าสิ่งที่ตนนับถือศรัทธานั้นดลบันดาล และ 3. คนที่ทั้งเชื่อ และมุ่งแก้ไข คนกลุ่มนี้ ไม่น่ากังวลเท่ากับคนกลุ่มที่ 2 เพราะยังแก้ไข ทั้งเชื่อและดำเนินการแก้ไขไปด้วยกัน ดังนั้นการจะเชื่อและศรัทธาอะไร อย่าลืมที่จะต้องแก้ไขและพัฒนาชีวิตตนเองไปด้วย
คนดังขอไม่ยุ่ง และไม่เชื่อ “ครูกายแก้ว”
ขณะที่เหล่าคนดัง มีการเคลื่อนไหวกับเรื่องนี้เช่นกัน เช่น “ณวัฒน์ อิสรไกรศรี” เจ้าของเวทีมิสแกรนด์ ออกมาโพสต์ในไอจีสตอรี่ฝากถึงสาวงามมิสแกรนด์ ทุกคนว่า “มิสแกรนด์ไทยแลนด์ และผู้ที่เตรียมตัวเข้าประกวดทุกคนขอความร่วมมือไม่ยุ่งเกี่ยวกับลัทธิครูกายแก้วไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม”
ขณะที่ “ริว จิตสัมผัส” ไลฟ์เฟซบุ๊กส่วนตัว บอกว่า ตนเองไม่ขอกราบไหว้ “ครูกายแก้ว” เพราะมีรูปลักษณ์เป็นซาตาน พญามาร คิดว่าไม่น่าจะดีเท่าไหร่ เป็นความคิดเห็นส่วนตัว สัญลักษณ์แบบนี้ อัตลักษณ์แบบนี้มักจะเกี่ยวกับซาตาน ใครไหว้ซาตานให้ระวัง ขอได้แต่อาจต้องแลกกับของรักหรือชีวิต ชี้ไม่ควรเอาซาตานมาวางไว้กลางเมือง อาจจะเกิดสิ่งไม่ดี ริว ยังบอกด้วยว่า ตามที่ตนศึกษามา พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นับถือพระพุทธเจ้า คิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะนับถือ “ครูกายแก้ว” ที่มีลักษณะเหมือนพญามาร คิดว่าคงมาจากการดลจิตดลใจของผู้สร้างเองหรือเปล่า ตนไม่แน่ใจ”
เช่นเดียวกับ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” ก็ออกมาบอกว่า ไม่เชื่อ “ครูกายแก้ว” เป็นอาจารย์พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โดยบอกว่า “ครูกายแก้วคือใคร บอกว่าเป็นอาจารย์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เอามาจากไหน ใครจะเถียง ก็ให้เอาหลักฐานมา ลองไปสืบค้นดูว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นับถืออะไร จากหลักฐานที่ค้นพบ บอกว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นับถืออยู่ 2 เรื่อง หนึ่งคือปรัชญาปารมิตา เป็นสูตรมหายาน พระแม่มารดา พระพุทธเจ้า นี่คือสิ่งที่หลักฐานค้นไปเจอ สองคือพระไภษัชยคุรุ พระพุทธเจ้า เป็นพระประธานวัดพระบาทน้ำพุ หรือที่เรากันเรียกว่า พระหมอยา พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นับถือมากๆ และในสมัยนั้นมีคุรุ หรือครูบาอาจารย์ ที่สืบได้ว่ามีตัวตนจริงๆ และเป็นที่เคารพนับถือ แต่ไม่มีเรื่องครูกายแก้ว สืบให้ตายยังไงก็ไม่มี” .-สำนักข่าวไทย