สุราษฎร์ธานี 13 ธ.ค.- คนขับรับจ้างตุ๊กตุ๊กสุราษฎร์ฯ แจ้งร้องทุกข์ตำรวจเป็นรายที่ 2 ถูกตัดสิทธิรับเงินช่วยสวัสดิการจากรัฐ ยืนยันไม่มีรายได้ขายปาล์มสดหลายแสนบาท
บ่ายวันนี้ (13 ธ.ค.) ที่ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี นายอานนท์ แสงธรรม อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลที่ 8/198 ถนนเลี่ยงเมือง หมู่ 3 ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.อ.จริยวัฒน์ แทนชื่น รอง สว.สอบสวน หลังจากตรวจสอบพบว่าเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติตามโครงการสวัสดิการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โดยระบุว่าการตรวจสอบรายได้ พ.ศ.2558 จากฐานข้อมูลภาษีกรมสรรพากรเป็นผู้มีรายได้เกิน 100,000 บาท
นายอานนท์ กล่าวว่า มีอาชีพขับรถโดยสารตุ๊กตุ๊กในเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี มานานกว่า 10 ปี และไม่เคยประกอบอาชีพอื่นใด เมื่อรู้ว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ จึงได้สอบถามไปยังสรรพากรพื้นที่ ซึ่งเป็นฐานข้อมูลการตรวจสอบทราบว่าตนมีรายได้จากการผลปาล์มสดเมื่อปี 2558 จำนวน 781,174 บาท ทั้งที่ไม่ได้มีสวนปาล์มหรือเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ทางเจ้าหน้าที่สรรพากรจึงมอบเอกสารให้ไปแจ้งความร้องทุกข์นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังมีหนังสือแจ้งว่าเป็นผู้ค้างจ่ายภาษี และไม่ยื่นแบบภาษีแสดงรายได้ประจำปี 2559 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากทำให้ถูกตัดสิทธิ์การช่วยเหลือจากภาครัฐแล้ว ยังเป็นผู้ทำผิดตามกฎหมายภาษี
ด้าน พ.ต.อ.สมสิน เกิดผล รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า เป็นคดีที่ 2 แล้ว หลังจากรัฐได้ให้ความช่วยเหลือเงินให้ผู้มีรายได้น้อย ซึ่งพนักงานสอบสวนจะสอบปากคำผู้เสียหาย เพื่อให้ผู้เสียหายนำไปยื่นต่อธนาคารเพื่อแย้งสิทธิ เป็นการช่วยเหลือเบื้องต้นไม่ให้เสียสิทธิรับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ส่วนทางคดีจะเร่งสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กรณีนายประสิทธิ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 75 ปี ชาว จ.สุราษฎร์ธานี ที่ร้องเรียนว่าถูกตัดสิทธิ์ เพราะมีรายได้จากการขายผลปาล์มสดกว่า 1 ล้านบาท โดยมีรายงานแบบแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปีภาษี 2558 ล่าสุดเรื่องอาจพลิก เนื่องจากตำรวจสืบพบข้อมูลว่านายประสิทธิ์ เคยมอบหมายเลขบัตรประชาชนให้กับเจ้าของสวนปาล์มรายหนึ่งในพื้นที่นำไปเป็นหลักฐานว่าเป็นเกษตรกรผู้ขายผลปาล์มสด และใช้เป็นเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรให้ผู้ประกอบการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร หักภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ 0.5 เพื่อนำส่งสรรพากร ซึ่งเจ้าหน้าที่สรรพากรระบุว่า วิธีการใช้ชื่อบุคคลอื่นมาสวมเพื่อรับรายได้และจ่ายภาษี เป็นวิธีการหนึ่งที่ผู้มีรายได้ตามเกณฑ์ที่ต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี หรือ ทำให้สามารถจ่ายภาษีที่ลดลง.-สำนักข่าวไทย