เชียงราย 26 ธ.ค.- พ่อทะเลาะเมีย แยกกันอยู่ 2 เดือน ขอคืนดีไม่สำเร็จ คว้ามีดแทงลูกสาว 9 ขวบ ดับ
พ.ต.ต.วีรพล สำราญใจ สารวัตรเวร สภ.แม่สาย จ.เชียงราย เข้าตรวจสอบเหตุเด็กถูกฆ่าเสียชีวิตที่ห้องเช่าใน ชุมชนไม้ลุงขน ม.10 ต.แม่สาย อ.แม่สาย ตรวจสอบภายในบ้านพบ นายน้อย อายุ 37 ปี ถือบัตรผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน เป็นผู้พักอาศัยอยู่ที่ห้องพักดังกล่าว และมี นางดาว อายุ 33 ปี ภรรยาของนายน้อย กอดศพเด็กหญิงด้วยความเศร้าโศกเสียใจ โดยเด็กหญิงคนดังลก่าวอายุ 9 ขวบ เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.แม่สาย
ตรวจสภาพเบื้องต้นพบว่าสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีแดง กางเกงขาสั้นสีดำ ตามลำตัวโดยเฉพาะลิ้นปี่มีรอยถูกแทงด้วยของมีคมจนพรุนไม่ต่ำกว่า 3-4 แผล แต่แผลได้รับการล้างเลือดจนแห้ง คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วหลายชั่วโมง ศพถูกวางเอาไว้ในห้องโถง และพบของกลางมีดปอกผลไม้ด้ามสีดำ ความยาวประมาณ 4 นิ้ว 1 เล่ม
ทราบต่อมาว่าผู้ที่ลงมือฆ่า ก็คือนายน้อย จากการสอบสวน นายน้อยให้การรับสารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุเคยอยู่กินกับนางดาว และมีลูกด้วยกัน 2 คน โดยเป็นผู้เสียชีวิตเป็นคนโต โดยตนเองมีอาชีพรับจ้างทั่วไป และติดเหล้าหนัก ต่อมาภรรยาได้พาลูกสาวคนเล็กแยกไปพักอยู่บ้านหลังอื่น ด้วยเหตุผลส่วนตัว ทำให้ตนเองและลูกสาวคนโตต้องอาศัยอยู่ด้วยกัน ทำให้เกิดความน้อยใจและเสียใจมาก ส่วนสาเหตุที่ทำไป เพราะทะเลาะกับภรรยา ที่แยกกันอยู่ได้กว่า 2 เดือนแล้ว ซึ่งตนเองพยายามขอคืนดีกับภรรยาแต่ไม่สำเร็จ กระทั่งวันนี้โทรไปตามง้ออีก โดยบอกภรรยาว่าหากไม่คืนดีกลับมาหาจะฆ่าลูกสาวทิ้ง ตนเองรออยู่นานเมื่อเห็นว่าภรรยาไม่มาหาเลยก่อเหตุฆ่าลูกสาวดังกล่าว จากนั้นนำศพไปล้างคราบเลือด และสวมใส่เสื้อผ้าก่อนจะนำมีดไปล้างน้ำ เมื่อเสร็จแล้วเกิดความเสียใจจึงออกมาเล่าให้กับเพื่อนบ้านฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อกระทั่งนางดาวไปพบลูกอยู่ในสภาพดังกล่าว จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
สอบถามนางดาว ให้การว่าว่า ปกติสามีชอบดื่มสุรา มักจะมีเรื่องทะเลาะกันบ่อยครั้ง จึงได้พาลูกคนเล็กไปอยู่บ้านหลังอื่นโดยตนเองทำงานเป็นแม่บ้านให้กับเจ้าของห้องแถวดังกล่าว จากนั้นช่วงเย็นจึงกลับมาเยี่ยมลูกสาวคนโต แต่ไม่คาดคิดว่าพ่อแท้ๆ จะทำได้ลงคอ
เจ้าหน้าที่จึงนำนายน้อยขึ้นรถ เพราะเกรงว่าจะถูกรุมประชาทัณฑ์ และนำตัวไปสอบปากคำอย่างละเอียด เบื้องต้นเจ้าตัวสารภาพตลอด ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้นำศพเด็กหญิงส่งโรงพยาบาลแม่สาย เพื่อชันสูตรพลิกศพตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.-สำนักข่าวไทย