กองทัพภาคที่ 1 13 ม.ค.- นายกรัฐมนตรี เผยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยน้ำท่วมใต้ รับสั่งทุกข์ไปด้วยกัน สุขไปด้วยกัน ให้เร่งช่วยเหลือประชาชนกลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว ทรงมีลายพระหัตถ์พระราชทานกำลังใจให้ประชาชน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานวันสถาปนากองทัพภาคที่ 1 ครบ 107 ปี ว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณให้องคมนตรี นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลรายงานสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ เนื่องจากทรงห่วงใยประชาชน รับสั่งด้วยความห่วงใยหลายประการ โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชนให้กลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว ทั้งที่อยู่อาศัย และอาชีพ ซึ่งครั้งนี้คล้ายกับน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ที่เราเคยเผชิญมา พระองค์รับสั่งว่า ให้ทำให้ดีที่สุด มีการบูรณาการ ลดความซ้ำซ้อน ทั่วถึง และดำเนินการคู่ขนานคือการเตรียมแผนงานระยะยาวในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมภาคใต้อย่างยั่งยืน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังรับสั่งถึงโครงการพระราชดำริและแนวทางที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานไว้ ให้นำมาทบทวนด้วย ส่วนรายละเอียดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะชี้แจงอีกครั้ง เพราะจะมีการประชุมในวันนี้ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามที่รับสั่งมาทั้งหมด
“นอกจากนี้ พระองค์ท่านพระราชทานเป็นลายพระหัตถ์มาถึงทุกคนว่า ด้วยความรักและห่วงใยขอเป็นกำลังใจในการร่วมกันฟื้นฟูและพัฒนา เพื่อขวัญที่ดี จิตใจ ร่างกายที่เข้มแข็ง นำมาซึ่งความสุขและมั่นคงของชาติ และพระองค์ท่านก็ลงพระปรมาภิไทย เป็นการแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงห่วงใยทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร และท่านทรงให้กำลังใจกับประชาชนทุกคน ให้อดทน และเข้าใจถึงว่าเราต้องอยู่กับน้ำอย่างไร ซึ่งต้องเรียนรู้ เนื่องจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ท่านรับสั่งมา เพราะฉะนั้นเราต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ในวันข้างหน้าอีก ต้องเตรียมตัวให้พร้อม” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อยากจะเรียนให้ประชาชนทราบว่า ต่อจากนี้ไปเราจำเป็นต้องดูแลระบบการระบายน้ำ โครงการพระราชดำริต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินการอยู่แล้ว โดยเอาแนวทางที่มีอยู่เดิม แต่หลายจังหวัดไม่ได้นำไปดำเนินการ จึงต้องมาดู ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับประชาชน สิ่งก่อสร้างขวางทางน้ำ ทั้งถนน บ้าน จึงต้องดูว่าทำอย่างไรให้เดือดร้อนน้อยที่สุด และมีการระบายน้ำลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นจะเกิดขึ้นอีก ซึ่งอยู่ในแผนการบริหารจัดการน้ำอยู่แล้ว เราต้องปรับการทำงานให้เร็วขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งอีกเรื่อง คือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานหลายอย่างหลายประการตลอด 70 ปีที่ทรงครองราชย์ อยากให้นำมาใช้และปฏิบัติ เพราะเป็นสิ่งที่ได้ศึกษาและค้นคว้า ทรงทดลองทำมาหมดแล้ว รัฐบาลชุดนี้รับใส่เกล้าใส่กระหม่อม ดำเนินการต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามพระกระแสรับสั่ง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์บ้านเมือง อยากให้ทุกคนมีความรักความสามัคคี อยู่ในความสงบ ทำให้บ้านเมืองมีความปลอดภัย ยั่งยืนเป็นที่เชื่อมั่นของนานาชาติ จึงขอให้ทุกคนมีความรัก ความสามัคคี ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการให้เรียบร้อย หากรวมความแล้วจะเห็นได้ว่า พระราชทานความห่วงใยจากพระราชหฤทัยของพระองค์เอง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เสร็จจากงานนี้ ตนต้องเดินทางไปปล่อยขบวนอาชีวะ ที่ลงช่วยซ่อมบ้านเรือนประชาชนในภาคใต้ ซึ่งตนจะพูดกับเขาว่าทุกคนถือเป็นทูตปรองดรอง และนี่คือตัวอย่างการปรองดอง คือ ทุกคนไปมาหาสู่ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คนละภาค คนละจังหวัด ซึ่งต้องเริ่มแบบนี้ก่อน คือทุกคนมีน้ำใจเผื่อแผ่แบ่งปัน ทุกข์สุขไปด้วยกัน อย่างเมื่อเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554 รับสั่งว่า “ทุกข์ไปด้วยกัน สุขไปด้วยกัน” ซึ่งพระองค์ท่านทรงอดทนกับน้ำท่วมเหมือนกัน ไปไหนมาไหนไม่ได้เช่นกัน ก็ลำบากไปด้วยกัน แต่วันนี้เราน่าจะแก้ปัญหาได้ด้วยความร่วมมือร่วมใจทุกภาคส่วน และสถาบันพร้อมสนับสนุนรัฐบาลทุกกรณี โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชน
“ได้พระราชทานให้หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัย ลงไปช่วยเหลือประชาชน ร่วมกับทหารและรัฐบาล ในส่วนของประชาชนที่บาดเจ็บ สูญเสีย พระองค์ท่านรับสั่งว่า ถ้ามีอะไรที่จะพระราชทานช่วยเหลือได้ ก็จะช่วยกับรัฐบาลไปด้วย สรุปว่าต้องเดินไปด้วยกันทั้งหมด ทั้งรัฐบาล ทหาร ประชาชน ข้าราชการต้องเข้มแข็ง ประพฤติตัวเป็นแบบอย่างที่ดี ถือเป็นสิริมงคลกับพวกเราทุกคนและเป็นกำลังให้ข้าราชการ เพราะพระองค์ท่านทรงทราบดีว่า ทุกคนเหน็ดเหนื่อย เสียสละ อดทน ในการช่วยเหลือประชาชน และประชาชนก็อดทนกับความลำบาก” นายกรัฐมนตรี กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนจะสั่งการอีกครั้งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ต่อการแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งการทำลายป่า สร้างสิ่งกีดขวาง ไม่ปฏิบัติตามผังเมืองหรือกฎหมาย การควบคุมอาคาร เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนทราบ ตรงไหนคือทางน้ำไหล ในทุกจังหวัด ทุกพื้นที่ ถ้ากำหนดว่าเป็นทางน้ำไหล ต้องระมัดระวัง อย่าก่อสร้างที่ผิดระเบียบขวางเส้นทางเหล่านั้น เราต้องทำให้เกิดความชัดเจนขึ้น .-สำนักข่าวไทย