กยท. 15 พ.ย.-การยางแห่งประเทศไทย(กยท.) หวังนโยบายเศรษฐกิจของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะไม่ส่งผลกระทบสถานการณ์ยางพาราในประเทศไทย ยกเว้นเรื่องการตั้งกำแพงภาษีการนำเข้าจากจีน อาจส่งผลบ้างแต่คาดว่าในทางปฏิบัติน่าจะทำได้ยาก
นายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการกยท. เปิดเผยว่า ประเทศไทยส่งยางพาราไปประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2558 ประมาณ 16,500 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ถือว่า สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศผู้ซื้อยางจากไทยเป็นอันดับ 5 ของโลก เป็นยางประเภท ยางแท่ง ยางแผ่นรมควัน และน้ำยางข้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารของประเทศ หากพิจารณานโยบายเศรษฐกิจของดอนัลด์ จอห์น ทรัมป์ ประเด็นนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ระยะแรกอาจจะส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน แต่คาดว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีกับราคายางภายในประเทศของไทย เนื่องจากการค้ายางระหว่างประเทศส่วนมากจะค้าขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม หากสหรัฐอเมริกากดดันให้เงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้น ผลกระทบที่เกิดกับประเทศไทยในฐานะที่เป็นผู้ส่งออกยางเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตของจีน การแข็งค่าขึ้นของเงินหยวนจึงไม่ได้เป็นปัจจัยกดดันราคายาง แต่กลับจะส่งเสริมให้การส่งออกเพิ่มขึ้น หรือนโยบายการตั้งกำแพงภาษี สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากจีนเป็นร้อยละ 45 ซึ่งจะส่งผลกระทบทางอ้อมกับสถานการณ์ยางในประเทศไทย เนื่องจากจีนเป็นประเทศหลักในการส่งออกยาง ขณะที่สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดหลักในการส่งออกผลิตภัณฑ์ของจีนซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ยางล้อรถยนต์ หากสหรัฐอเมริกาเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของจีนในตลาดสหรัฐอเมริกาลดลง และส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อยางจากประเทศไทย
นายธีธัช กล่าวอีกว่า ไทยในฐานะประเทศผู้ผลิตยางอันดับ 1 ของโลก มองว่า แม้จะมีหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศอาเซียนได้ขยายพื้นที่ปลูกยาง แต่ไทยกำลังลดพื้นที่ปลูกยางเพื่อให้เกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น ลดปัญหาที่เกิดจากความไม่เสถียรภาพของราคายาง หรือการส่งเสริมการปลูกยางแบบผสมผสาน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางไทย แต่ศักยภาพในการพัฒนายางพาราไทย ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและการจัดการสวนยางตามหลักวิชาการ เพื่อให้ผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่ของเกษตรกรสูงขึ้น หรือด้านการตลาดที่รัฐบาลได้ร่วมกับประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติแห่งใหญ่ของโลกคืออินโดนีเซียและมาเลเซีย โดยจัดตั้งบริษัทร่วมทุนยางระหว่างประเทศเพื่อรักษาเสถียรภาพของยาง รวมถึง กยท.ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลบริหารจัดการยางพาราทั้งระบบครบวงจร เร่งหาแนวทางลดต้นทุนการผลิต ยกระดับคุณภาพของผลผลิตให้ได้มาตรฐานในระดับสากล พร้อมทั้ง แสวงหาตลาดใหม่เพื่อทำการค้าระหว่างประเทศ
“สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นการพัฒนายางพาราทั้งระบบตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เรื่องคุณภาพยางตั้งแต่กระบวนการปลูกจนกระทั่งการแปรรูปเพื่อการส่งออก เพราะฉะนั้น ประเทศไทยจะไม่เพียงแต่จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศผู้ส่งออกยางอันดับ 1 ของโลกเท่านั้น แต่ไทย จะเป็นประเทศผู้ผลิตยางคุณภาพดีอันดับ 1 ของโลกเช่นกัน”ผู้ว่าการกยท.กล่าว-สำนักข่าวไทย