กรุงเทพฯ 21 ก.พ. – ผอ.สศค.เผยออกใบอนุญาตผู้ประกอบการพิโค ไฟแนนซ์ แล้ว 1 ราย และมีอีก 11 รายที่ผ่านการตรวจสอบ น่าจะออกใบอนุญาตได้ทันวันเปิดโครงการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาล 27 ก.พ.นี้
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยความคืบหน้าการเปิดให้เจ้าหนี้นอกระบบมาจดทะเบียนทำธุรกิจปล่อยเงินกู้รายย่อยอย่างถูกกฎหมาย หรือพิโคไฟแนนซ์ ว่า ล่าสุดมีผู้ยื่นขอใบอนุญาตรวมกว่า 80 ราย ในจำนวนนี้ออกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการแล้ว 1 ราย และยังมีอีก 11 รายที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติและเอกสารต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว คาดว่าการเปิดตัวโครงการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาลวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ จะสามารถออกใบอนุญาตให้ผู้ที่ผ่านการตรวจสอบได้ทั้งหมด โดยรัฐบาลต้องการให้มีผู้ประกอบการพิโคไฟแนนซ์อยู่ทุกจังหวัด เพราะแต่ละรายจะสามารถปล่อยเงินกู้ได้เฉพาะในจังหวัดของตัวเอง
ส่วนการเปิดรับลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยรอบ 2 ต้นเดือนเมษายนนี้ นอกจากจุดเปิดรับลงทะเบียนเดิมตามสาขาของธนาคารรัฐ 3 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แล้ว คาดว่ากรมบัญชีกลางจะเปิดให้ลงทะเบียนที่คลังจังหวัดทุกจังหวัดด้วย นอกจากนี้ เท่าที่หารือธนาคารเห็นว่าเดือนเมษายนมีวันหยุดหลายวัน จึงอาจขยายเวลาเปิดรับลงทะเบียนถึงกลางเดือนพฤษภาคม จากนั้นกรมบัญชีกลางจะออกบัตรประจำตัวให้ โดยอาจให้ใช้สีแตกต่างกันตามระดับรายได้ของประชาชน
ส่วนสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ ขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณา ซึ่งผู้ถือบัตรแต่ละสี หรือแต่ละระดับรายได้จะได้รับสิทธิประโยชน์แตกต่างกันตามระดับรายได้ รวมถึงคนกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ก็จะมีสิทธิประโยชน์ต่างกัน เช่น คนกรุงเทพฯ ได้ใช้รถเมล์ฟรี ขณะที่คนต่างจังหวัดไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิประโยชน์นี้ เป็นต้น
นายกฤษฎา กล่าวว่า การเปิดรับลงทะเบียนรอบแรกมีจำนวนทั้งหมด 8.2 ล้านราย แต่ผ่านการตรวจสอบตรงตามคุณสมบัติ 7.7 ล้านราย ในจำนวนนี้ได้รับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐแล้วประมาณ 7.5 ล้านราย ส่วนที่เหลือ 200,000 ราย ซึ่งจะไม่ได้รับเงินย้อนหลังแล้วนั้น อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลว่าเพราะอะไรจึงไม่มารับเงิน ส่วนการลงทะเบียนรอบ 2 น่าจะมีจำนวนมากกว่ารอบแรก เพราะผู้ที่ลงทะเบียนรอบแรกแล้วจะต้องมาลงทะเบียนใหม่ด้วย แต่หลังจากได้รับบัตรประจำตัวรอบใหม่นี้แล้วปีต่อไปไม่ต้องมาลงทะเบียนอีก เพียงแต่มาอัพเดตข้อมูลเท่านั้น ซึ่งบางคนอาจจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจนไม่ถือว่าเป็นผู้มีรายได้น้อยอีกก็ได้.-สำนักข่าวไทย