กรุงเทพฯ 24 พ.ย. – นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) กล่าวว่า จังหวัด Binh Dinh ประเทศเวียดนาม ได้แจ้งอย่างไม่เป็นทางการว่าขอยกเลิกโครงการวิกตอรี่ที่กลุ่ม ปตท.ได้หารือ เพื่อพัฒนาโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ เพราะจะพัฒนาพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นรีสอร์ท เพื่อรองรับการท่องเที่ยวของประเทศ หลังจากนี้กลุ่ม ปตท.ยังต้องรอหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการจากทางจังหวัดอีกครั้งหนึ่ง
“กลุ่ม ปตท.อาจจะต้องยกเลิกการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์มูลค่าประมาณ 10,000-12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจังหวัด Binh Dinh ของประเทศเวียดนาม ส่วนจะลงพื้นทีอื่นในเวียดนามหรือไม่ ได้มอบให้ บมจ.IRPC เป็นผู้ศึกษา ซึ่งอาจจะลงทุนในไทยแทนก็ได้” นายเทวินทร์ กล่าว
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ปตท.ได้ศึกษาโครงการลงทุนโรงกลั่นและปิโตรคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม มูลค่า 18,000-20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และโครงการได้รับอนุมัติจากรัฐบาลกลางของเวียดนามตั้งแต่ปลายปี 2557 ซึ่งเดิมจะเป็นการลงทุนร่วมกับบริษัท ซาอุดิอารัมโก (Saudi Aramco) บริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดิอาระเบีย แต่ต่อมาทางซาอุดิอารัมโกได้ถอนตัว กลุ่ม ปตท.ได้มอบหมายให้ บมจ.IRPC ศึกษาโครงการดังกล่าวต่อไป
นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC กล่าวว่า เบื้องต้นกลุ่ม ปตท.มีแนวทางที่จะไปร่วมมือกับผู้ประกอบการรายอื่นที่ได้รับอนุญาตทำโครงการปิโตรเคมีในรูปแบบเดียวกันและมีผลการศึกษาโครงการแล้ว เพื่อดำเนินโครงการร่วมกัน ในเวียดนามพื้นที่อื่น ๆ ซึ่งน่าจะทำให้เกิดโครงการได้รวดเร็วขึ้นกว่าการที่กลุ่ม ปตท.ศึกษาพื้นที่ลงทุนและศึกษาการลงทุนใหม่ในเวียดนาม ซึ่งจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมากกว่า โดยคาดว่าจะสรุปได้ 2-3 เดือน
นายสุกฤตย์ กล่าวอีกว่า ส่วนการจะดำเนินโครงการดังกล่าวในไทยเห็นว่ายาก เพราะปัจจุบันไทยมีกำลังการกลั่นน้ำมันมากกว่าความต้องการใช้ ขณะที่ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ยังมีแผนการขยายกำลังกลั่น แต่หากจะเป็นการขยายเฉพาะโครงการปิโตรเคมีในไทยน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า ซึ่งขณะนี้บริษัทก็ให้ความสนใจลงทุนในโครงการผลิตพาราไซลีน (PX) ด้วยเช่นกัน
นายเทวินทร์ กล่าวอีกว่า ปตท.ยังอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อให้มีความเหมาะสม และเป็นเรือธง (Flagship) ของแต่ละธุรกิจในกลุ่ม ซึ่งในส่วนที่เป็นภาระหน้าที่ของรัฐวิสาหกิจจะอยู่ที่ ปตท.โดยตรง
ปัจจุบัน Flagship ของ ปตท.มีทั้งสิ้น 3 บริษัท ได้แก่ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) , TOP และ IRPC ซึ่งทั้ง 3 บริษัทมีธุรกิจครอบคลุมทั้งโรงกลั่นและปิโตรเคมี โดยก่อนหน้านี้ได้ศึกษารวมธุรกิจของทั้ง 3 บริษัท แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างใดเพิ่ม
“วันนี้ยังไม่ถึงจุดที่จะบอกได้ว่าจะควบรวมหรือไม่ ศึกษาอยู่ ประเมินอยู่ว่าแต่ละบริษัทมีโอกาสทางธุรกิจอย่างไร ธุรกิจโรงกลั่นที่จะเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปไม่ขยายตัวมาก แต่ปิโตรเคมีจะขยายตัวได้มากกว่า โอกาสเปิดกว้าง แต่วันนี้ยังไม่เห็นความจำเป็น” นายเทวินทร์ กล่าว
ส่วนกระแสข่าวที่ TOP จะเข้าซื้อกิจการ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) นั้น นายเทวินทร์ ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นกรณีข่าวดังกล่าว.- สำนักข่าวไทย