กรุงเทพฯ 24 ก.ย.- “วรภัค” เผยความเสี่ยงทางการคลังหลัง COVID-19 สูงถึง 7.6 โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่ จึง “เลือกจะเผชิญความจริง” เป็นการบ้านท้าทาย
นายวรภัค ธนยาวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผ่านโซเชียล ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญโจทย์การคลังและเศรษฐกิจที่ซับซ้อนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา หลังวิกฤต COVID-19 ทำให้โครงสร้างหนี้ รายได้ และรายจ่ายภาครัฐเปราะบางอย่างยิ่ง ภาพรวมความเสี่ยงทางการคลังถูกประเมินสูงถึง 7.6 จาก 10 (ก่อนโควิดเพียง 4.3) หมายถึง “พื้นที่หายใจ” ของรัฐบาลใหม่มีอยู่อย่างจำกัด ดังนี้ 1. หนี้สาธารณะ นับเป็นแรงกดดันที่เข้าใกล้เพดาน โดยหนี้สาธารณะขึ้นแตะ 65% ต่อ GDP ในปี 2568 และภาระดอกเบี้ยอาจเกิน 10% ของรายได้รัฐบาล แม้ยังไม่ทะลุเพดาน 70% แต่กำลังใกล้ “กันชนสุดท้าย” ที่ IMF ประเมินไว้ 77–87% ดังนั้น หากเศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมกับดอกเบี้ยโลกสูงต่อเนื่อง อัตราส่วนหนี้อาจทะลุกรอบเร็วกว่าคาด และถูกตลาดการเงินลดความเชื่อมั่น
- รายได้ภาครัฐ: โครงสร้างจัดเก็บที่อ่อนแรง
สัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP ต่ำกว่ามาตรฐานโลก ~3% นับเป็นจุดอ่อนสำคัญ โดยแรงงานนอกระบบ >50%, ไม่มี Capital Gain Tax (ซึ่งคงยังไม่มีนโยบายจัดเก็บภาษีเรื่องนี้ในระยะระยะเวลาอันใกล้), ภาษีทรัพย์สินและมรดกต่ำ, VAT ยังคงต่ำ 7% (ในขณะที่ประเทศรอบบ้านเราอยู่ที่ 12 ถึง 15% กันทั้งนั้น), ภาษีสิ่งแวดล้อมยังไม่เกิดขึ้น รายได้จากพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติลดลง หากไม่สามารถปฏิรูปภาษีได้จริง รายได้ต่อ GDP จะไม่ขยับ → เสถียรภาพหนี้อาจจะทรุดลงเรื่อยๆ - รายจ่ายภาครัฐ ภาระที่ขยายตัวต่อเนื่อง
ค่าใช้จ่ายบุคลากรและบำนาญเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยเฉพาะ OPD พุ่งไม่หยุด กองทุนชราภาพเสี่ยงไม่ยั่งยืน และแรงงานนอกระบบไร้หลักประกันเกษียณ
หากการใช้ Escape Clause ถูกบิดเบือนเพื่อเพิ่ม “รายจ่ายลงทุนเทียม” จะทำให้ฐานะการคลังเสื่อมเร็ว - โครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคม กับดักเชิงโครงสร้าง จากปัญหาสังคมผู้สูงอายุ → รายได้ภาษีหด รายจ่ายบำนาญและสุขภาพพุ่ง
หนี้ครัวเรือนสูง 90% ต่อ GDP → บริโภคชะลอ, VAT อ่อนแรง แรงงานนอกระบบครึ่งประเทศ → ฐานภาษีแคบ ความเหลื่อมล้ำสูง → 1% ถือครองรายได้ 23% ทำให้การปฏิรูปภาษีเผชิญแรงต้าน
ภูมิรัฐศาสตร์และพลังงาน: ราคาน้ำมันผันผวน บีบรัดการคลังจากการอุดหนุน นับว่าไทยติดอันดับ 9 โลกในดัชนีความเสี่ยง ทำให้ต้องกันงบเพื่อบรรเทาและฟื้นฟูมากขึ้น เมื่อมีอาการ Shock ภายนอก เช่น ราคาน้ำมันพุ่งหรือภัยพิบัติรุนแรง จะกระแทกงบประมาณทันที - ทางออก: การปรับสมดุลการคลังต้อง “ครบวงจร” รายจ่าย: จำกัดการโตของเงินเดือน-บำนาญ-สวัสดิการ, ปฏิรูปกองทุนเกษียณ
รายได้: ปฏิรูปภาษีบุคคลและทุน, ขยาย VAT อย่างเหมาะสม, จัดเก็บภาษีคาร์บอน, เพิ่มรายได้จากทรัพย์สินรัฐ กลไกกฎหมาย: ใช้ PAYGO, กำหนดนิยามรายจ่ายลงทุนให้ชัด, กลับสู่กรอบขาดดุล 3% ของ GDP เมื่อเศรษฐกิจฟื้น
บทสรุป: Baseline ของรัฐบาลใหม่
รัฐบาลใหม่ไม่ได้เริ่มต้นจาก “กระดาษขาว” แต่จาก baseline ที่เต็มไปด้วย แรงกดดันเชิงโครงสร้างทางการคลัง ทุกด้าน – หนี้ รายได้ รายจ่าย และโครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคม – กำลังบีบให้ fiscal space ของไทยแคบลงเรื่อย ๆ หากไม่ปฏิรูปเชิงรุก ความเสี่ยงจะทวีคูณ และ downside triggers สามารถถูกจุดติดได้จากทั้งในและนอกประเทศ โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่จึงไม่ใช่แค่การ “เลือกใช้นโยบาย” แต่คือการ “เลือกจะเผชิญความจริง” เพราะหากเพิกเฉย Baseline วันนี้จะกลายเป็นกับดักที่กัดกร่อนเสถียรภาพการคลังและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว. -515- สำนักข่าวไทย