กรุงเทพฯ 23 ก.ย. – “วรภัค” เปิดเบื้องลึกหารือสมาคมธนาคารไทย หวังใช้กลไกหลักร่วมฟื้นเศรษฐกิจ หลัง GDP โตเฉลี่ย 2.1% ใน 5 ปีข้างหน้า ต่ำสุดในอาเซียน ย้ำ “ไม่ใช่คุยแล้วจบ” ทุ่มงบจัดซื้อจัดจ้างปีละ 1.7 ล้านล้านบาท เป็นคันโยกหนุน SMEs
นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเบื้องลึก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และคณะ ครม.เศรษฐกิจ เดินทางไปเยือนสมาคมธนาคารไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 58 ปี ถือว่าเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง เพราะนายแบงก์ได้ลงพื้นที่สัมผัส พูดคุยกับลูกค้า ทั้งเรื่องกิจการ ความเป็นอยู่ แนวโน้มธุรกิจ แทบทุกกลุ่ม นับว่าธนาคารสะท้อนสภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจไทยได้อย่างดี นายกฯ อนุทิน และท่านรองนายกฯ เอกนิติ รู้จัก CEO ของธนาคารไทยแทบทุกคน จึงได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างมีอรรถรส มีสาระสำคัญจากสมาคมธนาคารไทยพอสังเขปดังนี้
ด้านภาพเศรษฐกิจสมาคมธนาคารฉายภาพให้เห็นว่า ไทยกำลังเจอปัญหาหลายด้านพุ่งชนกันพอดี จากโครงสร้างเดิมที่เปราะบาง เศรษฐกิจนอกระบบ มีขนาดใหญ่ถึงร้อยละ 48 ของ GDP เกินกว่าหลายประเทศในเอเชีย ทำให้การจัดเก็บภาษีไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ความเหลื่อมล้ำสูง และค่าเงินบาทถูกโยกด้วยธุรกรรมทอง–คริปโต หนี้ครัวเรือนสูงลิ่วกว่า 100% ต่อ GDP รวมทั้งในและนอกระบบ

ความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ไทยเสมือน “เครื่องยนต์ติดขัด” คาด GDP โตเฉลี่ยเพียงร้อยละ 2.1% ใน 5 ปีข้างหน้า ต่ำสุดในอาเซียน ขณะที่ FDI ไหลเข้าน้อย เงินทุนไทยกลับไหลออกไปลงทุนต่างประเทศแทน หน่วยงานภาครัฐมีความท้าทายไม่แพ้กัน กฎหมายและกฎระเบียบมากกว่า แสนฉบับ กำลังกลายเป็นภาระ ให้กับภาคธุรกิจต้องแบกต้นทุนแฝงสูง ข้อมูลหน่วยงานรัฐไม่เชื่อมโยงกันจนถึงขั้น “หาสาเหตุค่าเงินบาทแข็งค่าไม่ได้” ขณะที่หนี้สาธารณะพุ่งขึ้นต่อเนื่อง
Reinvent Thailand: ข้อเสนอใหญ่จากสมาคมธนาคารไทย สมาคมฯไม่ได้มาเพียงออกไปตามบ่นสื่อ แต่ชูแพลตฟอร์ม “Reinvent Thailand” เป็นเวทีร่วมมือระหว่างรัฐ–เอกชน–การเงิน แนวคิดคือ “ไม่ใช่คุยแล้วจบ” แต่ต้องมี ข้อมูลนำทาง (Data-driven), เจ้าภาพชัดเจน, KPI วัดผล, และแรงจูงใจที่ถูกต้อง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนทุกด้าน
สามแนวทางหลักที่สมาคมธนาคารไทยแนะนำ แก้ปัญหาให้ภาคประชาชน ด้วยการจัดตั้ง JV-AMC ระหว่างธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อซื้อหนี้เสียรายย่อยมาบริหารใหม่ การกำหนดให้ผู้ให้กู้ทุกรายต้องรายงานข้อมูลเครดิตเข้า NCB แล้วสร้าง National Credit Score เพื่อให้ทุกคนถูกประเมินความเสี่ยงด้วยมาตรฐานเดียว
สำหรับภาคธุรกิจ ควรผลักดันโครงการ “Greenly Made by Thais” (GMBT) เพื่อให้สินค้าส่งออกไทยมีแต้มต่อด้าน ESG และการใช้วัตถุดิบในประเทศ มาตรการ “พี่ช่วยน้อง” ให้บริษัทใหญ่ช่วย SMEs ในห่วงโซ่อุปทาน การใช้เครื่องมือใหม่ เช่น Digital Lending Platform และ PromptBiz เพื่อลดต้นทุนธุรกิจ
ด้านการทำงานของ ภาครัฐ เสนอให้ใช้งบจัดซื้อจัดจ้างปีละ 1.7 ล้านล้านบาท เป็นคันโยกหนุน SMEs และสินค้ากลุ่ม GMBT การปรับโครงสร้างกฎระเบียบ ลดขั้นตอนและความซ้ำซ้อน รัฐบาลรับลูกจัดทำนโยบายเร่งด่วน 4+4 สมาคมฯ สรุปเป็น 4 ประเด็นหลัก + 4 มาตรการเสริม
- ดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบ
- แก้หนี้ครัวเรือนด้วย AMC และ National Credit Score
- เพิ่มรายได้ครัวเรือน ผ่านการอัพสกิลและค่าตอบแทน
- กระตุ้นการลงทุนในประเทศ ดึง FDI และหนุน local content
+4 เสริม: ใช้ PromptBiz, ปรับ บสย., เครื่องมือช่วย SMEs
ข้อเสนอของสมาคมธนาคารไทยครั้งนี้ไม่ใช่เพียงรายงานเชิงเทคนิค แต่คือ สัญญาณเตือน ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังถูกล้อมด้วยความเสี่ยงรอบด้าน หากรัฐบาลกล้าลงมือจริงตามแนวทางเหล่านี้ ประเทศไทยยังมีโอกาสสร้างรอบใหม่ของการเติบโตและก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้ ข้อแนะนำบางอย่างท่านนายกฯ ได้มีแนวทางสั่งการให้ท่านรองนายกฯ เศรษฐกิจได้เตรียมนโยบายไว้อยู่แล้ว อาทิ การแก้หนี้ภาคครัวเรือน การเสริมสภาพคล่องธุรกิจเอสเอ็มอี การกระตุ้นเศรษฐกิจแบบทำสั้นแต่ได้ยาว การอำนวยความสะดวกและดึงดูดการลงทุนระยะยาว ในอุตสาหกรรมเป้าหมายจากต่างประเทศ เป็นต้น. -515 -สำนักข่าวไทย