กรุงเทพฯ 28 ก.ย. จับตา กสทช. จ่อเลิกข้อห้ามคิดค่าโทรต่างกันภายในโครงข่ายกับภายนอกโครงข่าย
นายประวิทย์ กล่าวว่า ข้อกฎหมายนี้ถูกกำหนดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้บริโภค ในเรื่องของการมีเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารได้อย่างทั่วถึง โดยไม่ต้องคำนึงว่าเป็นการใช้บริการโทรศัพท์มือถือในโครงข่ายเดียวกันหรือต่างกัน หรือเกิดข้อจำกัดหากเป็นการใช้บริการข้ามโครงข่าย อีกทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการคิดค่าบริการในลักษณะที่เป็นการกีดกันทางการค้า หรือบิดเบือนการกำหนดราคาเพื่อสร้างอำนาจผูกขาดในตลาด โดยเฉพาะการกีดกันผู้ประกอบการรายย่อยหรือรายใหม่ให้ไม่สามารถแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมได้ ส่วนข้อเสนอของผู้ประกอบการที่ต้องการให้มีการทบทวนกติกาให้สามารถกำหนดอัตราค่าบริการที่แตกต่างกันได้นั้น เป็นเรื่องที่ต้องรับฟังความเห็นอย่างรอบด้านถึงผลดีผลเสีย รวมทั้งคำนึงถึงผลกระทบด้านการแข่งขันของผู้ประกอบการในตลาดโทรคมนาคม เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาด
“หากจะมีการกำหนดอัตราค่าบริการที่แตกต่างกัน ก็เป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการที่จะทำอย่างไรให้ผู้บริโภครู้ว่ากำลังจะใช้บริการโทรภายในเครือข่ายหรือนอกเครือข่าย เพราะถ้าผู้บริโภคไม่สามารถแยกความแตกต่างได้ ก็ไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค เพราะผู้บริโภคอาจเกิดความเข้าใจผิดว่ากำลังโทรในเครือข่ายซึ่งโทรฟรีหรืออัตราค่าบริการถูก จึงโทรนาน แต่ปรากฏว่าปลายสายย้ายค่ายไปแล้ว ทำให้กลายเป็นการโทรนอกเครือข่ายที่ต้องเสียค่าบริการแพง นอกจากนี้ ถ้าจะมีการอนุญาตให้สามารถกำหนดอัตราค่าบริการที่แตกต่างกันได้ ก็ต้องกำกับอัตราค่าบริการให้สอดคล้องกับต้นทุน ไม่ใช่ปล่อยให้กำหนดราคาแตกต่างกันได้โดยเสรี มิเช่นนั้นก็จะเกิด network effect เพราะทุกวันนี้มีการออกแพ็คเกจโทรฟรีในเครือข่าย ส่วนนอกเครือข่ายคิดราคาเต็ม ซึ่งทำให้ราคาค่าบริการแตกต่างกันหลายเท่าตัว เมื่อเป็นเช่นนี้รายเล็กก็จะแข่งขันสู้รายใหญ่ไม่ได้ และก็จะล้มหายตายจากตลาดกันหมด” นายประวิทย์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงาน การประชุม กสทช. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2563 สำนักงาน กสทช. ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเรื่องคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่อนุญาตให้ผู้ประกอบการที่ฟ้องคดี 4 รายถอนอุทธรณ์และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความกรณีที่ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่ง กทช. ที่ 19/2553 เรื่อง ห้ามเรียกเก็บค่าบริการในกิจการโทรคมนาคมจากผู้ใช้บริการในอัตราที่แตกต่างกันสำหรับบริการโทรคมนาคมลักษณะหรือประเภทเดียวกัน ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2553 ขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็ขอให้ กสทช. พิจารณาทบทวนคำสั่ง กทช. ดังกล่าวแทน
กรณีข้อพิพาทดังกล่าวสืบเนื่องจากในสมัยคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้เคยมีคำสั่งห้ามผู้รับใบอนุญาตดำเนินการจัดทำรายการส่งเสริมการขายในลักษณะที่มีการเรียกเก็บค่าใช้บริการโทรคมนาคมจากผู้ใช้บริการของตนในอัตราที่แตกต่างกัน สำหรับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในโครงข่าย (On-net) และการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างโครงข่าย (Off-net) โดยหากพบว่าผู้ประกอบกิจการรายใดฝ่าฝืน ให้สำนักงานกสทช. กำหนดมาตรการบังคับทางปกครองเพื่อให้ผู้ประกอบกิจการปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดโดยเคร่งครัดอย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ กทช. ออกคำสั่งดังกล่าว ได้มีผู้ประกอบกิจการ 4 ราย ได้แก่ บริษัท ทรู มูฟ จำกัด บริษัทดิจิตอล โฟน จำกัด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) ฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง โดยขอให้เพิกถอนคำสั่งของ กทช. ซึ่งต่อมาศาลปกครองกลางพิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีจึงได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุด แต่ต่อมาก็ได้ขอถอนอุทธรณ์ และทำหนังสือขอให้ กสทช. พิจารณาทบทวนคำสั่ง กทช.-สำนักข่าวไทย.