ทำเนียบฯ 9 ก.ค.- ศบค.เผยตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 รายมาจากต่างประเทศ ไม่มีเสียชีวิตเพิ่ม ชี้ภาพรวมพฤติกรรมป้องกันตนเองลดลง ถือว่าการ์ดตก
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์โควิด-19 ว่า วันนี้ (9 ก.ค.)ไทยมีรายงานผู้ป่วยใหม่ 5 ราย รวมผู้ป่วยสะสมเป็น 3,202 ราย รักษาหาย 3,085 ราย รักษาอยู่ 59 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 58 ราย นับเป็น 45 วันแล้วที่ไทยไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศ
โดยผู้ป่วยใหม่ 5 ราย ทั้งหมดเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศแล้วเข้าพักในสถานกักกันตัวที่รัฐจัดให้ โดย 4 ราย มาจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็น ชายไทย 3 ราย อายุ 38 ปี 40 ปี 54 ปี และหญิง 1 ราย อายุ 42 ปี ทั้งหมดอาชีพรับจ้าง เดินทางถึงไทยวันที่ 2 กรกฎาคม และเข้าพักในสถานกักกันตัวที่รัฐจัดให้ที่ กทม. และชลบุรี ตรวจหาเชื้อวันที่ 7 กรกฎาคม โดยทั้งหมดไม่มีอาการ ส่วนอีก 1 ราย มาจากอียิปต์ เป็นนักศึกษาชายไทย อายุ 22 ปี เดินทางถึงไทย 8 กรกฎาคม โดยผ่านการคัดกรอง ณ ด่านควบคุมโรค พบว่าอาการได้กลิ่นและรับรู้รส ลดลงและตรวจพบเชื้อ 8 กรกฎาคม ทั้งนี้ภาพรวมผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ พบผู้ป่วยสะสมมีอาการ ร้อยละ 51.2 และในช่วง 1 พ.ค.-8 ก.ค. พบ ไม่มีอาการ ร้อยละ 60
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์โลก พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รวม 12,164,173 ราย เสียชีวิต 552,029 ราย สหรัฐอเมริกาพบติดเชื้อมากที่สุด 3,158,932 ราย เสียชีวิต 134,862 ขณะที่ไทยอยู่ที่อันดับที่ 99 ของโลก ทั้งนี้สถานการณ์ทั่วโลกยังถือว่าวิกฤต และไม่มีความปลอดภัย
โฆษก ศบค. กล่าวถึงผลสำรวจเรื่องการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในระหว่างมาตรการผ่อนปรน โดยสอบถามประชาชนกว่า 4 แสนคน จากทั่วประเทศ พบว่า ภาพรวมพฤติกรรมป้องกันตนเองทั่วประเทศค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.84 ซึ่งถือว่าดี การใช้หน้ากากอนามัยค่าเฉลี่ย 0.92 กินร้อนช้อนตัวเอง 0.90 ล้างมือบ่อยๆ 0.88 ระวังไม่อยู่ใกล้ผู้อื่น 0.79 ระวังไม่ใช้มือสัมผัสหน้า 0.73
ขณะที่จากมาตรการผ่อนคลายตั้งแต่ระยะที่ 2 จนถึง ระยะที่ 5 พบว่าภาพรวมพฤติกรรมป้องกันตนเองจาก ร้อยละ 85.3 ลดลงเหลือร้อยละ 80.7 เห็นภาพชัดว่าการ์ดตกลงมาอย่างแน่นอน และการใช้แอพลิเคชั่นไทยชนะ พบว่า สถานที่ที่ไม่มีการใช้แอพลิเคชั่นไทยชนะ หรือ สมุดลงชื่อไว้ให้ คือ ตลาดสด ร้อยละ 46.9 ห้างสรรพสินค้า ร้อยละ 17.1 และร้านขายของในห้าง ร้อยละ 15.4
สำหรับนโยบายรับคนไทยกลับจากต่างประเทศ พบว่าประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนร้อยละ 44.5 แต่ไม่สนับสนุนการท่องเที่ยวแบบ Travel bubble ร้อยละ 45.2 และการท่องเที่ยวระหว่างประเทศอื่นๆ ร้อยละ 69.2 ขณะเดียวกันประชาชน ร้อยละ 40.5 มีความมั่นใจว่ารัฐบาลจะควบคุมการระบาดในระลอก2 ได้
นพ.ทวีศิลป์ ยังชี้แจง ถึงการเดินทางมาไทยของ ผบ.ทบ.สหรัฐ และคณะ ในฐานะแขกของรัฐบาล ว่า เจ้าหน้าที่ที่ดูแลคณะดังกล่าว ไม่มีความจำเป็นต้องกักตัว 14 วัน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทุกคนมีทักษะและดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แต่ขณะเดียวกันต้องมีการสังเกตอาการของตัวเอง และจะมีการตรวจเช็คตลอดเวลาเพื่อให้เกิดความมั่นใจในระบบสาธารณสุข ซึ่งกรณีเช่นนี้เคยมีมาก่อน เช่น เจ้าหน้าที่ที่ดูแลผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และทำงานที่สนามบิน ก็ไม่ได้มีการกักตัว 14 วัน และยังคงทำงานต่อเนื่อง
ส่วนการเปิดให้กลุ่ม Medical and Wellness Tourism เข้ามาในไทยได้และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนนั้น นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้โรงพยาบาลเอกชน แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรให้เป็นพิเศษ ซึ่งก่อนหน้านี้โรงพยาบาลเอกชนได้รักษาผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวอยู่แล้ว และการเข้ามาในครั้งนี้ถือเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เมื่อเข้ามาต้องรักษาตัวอยู่ได้ประมาณ14 วัน เพื่อเป็นการกักตัวไปด้วย และเมื่อทำการรักษาเรียบร้อยแล้วและสุขภาพแข็งแรง ไม่มีติดเชื้อ ก็อาจประสานให้มีแพคเกจท่องเที่ยวเพื่อให้สามารถเที่ยวในประเทศได้ต่อ การเดินทางเข้ามาจะไม่กระทบกับจำนวนเตียงผู้ป่วยหรือทรัพยากรทางการแพทย์ของไทย และจะเลือกเฉพาะกลุ่มที่ไม่ได้ทำการผ่าตัดใหญ่ รวมแล้วประมาณ 2,000 คน ที่จะเดินทางมาในระหว่างเดือน กรกฎาคมถึงกันยายน
โฆษก ศบค. ยังกล่าวถึง กลุ่มแรงงานที่เข้ามาโดยผิดกฎหมาย ซึ่งต้องเฝ้าระวังโควิด-19 ว่า ขอให้ฝ่ายความมั่นคง สนธิกำลัง เพิ่มจุดตรวจตามเส้นทางหลักต่าง ๆ ให้เข้มข้นขึ้น อาจเป็นการป้องกันได้ในระดับหนึ่ง เพราะหากจะให้ไปตรวจตามแนวขอบชายแดนทั้งหมดคงไม่สามารถทำได้ และมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ รวมถึงให้อสม. เฝ้าระวังติดตามดูแลประชาชนคนในพื้นที่อย่างเข้มงวด ส่วนในกลุ่มคนไทยเองก็ยังไม่สามารถมั่นใจว่าปลอดเชื้อได้ 100% ดังนั้นต้องผ่อนคลายเกณฑ์ให้ผู้ที่มีอาการน้อย ๆ ได้เข้ามาตรวจกันมากขึ้น.-สำนักข่าวไทย