กรุงเทพฯ 26 มิ.ย. – ศาลฎีกา นัดอ่านคำพิพากษา ในคดีที่ แกนนำกลุ่ม นปช. บุกบ้านสี่เสาเทเวศน์ ซึ่งเคยเป็นบ้านพักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อปี 2550 หลังจากเลื่อนอ่านคำพิพากษามาเมื่อวันที่ 30 เม.ย.เนื่องจากติดสถานการณ์โควิด-19
แกนนำกลุ่ม ที่เป็นจำเลยในคดี เช่น นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ จำเลยที่ 4 /นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จำเลยที่ 5 /นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท จำเลยที่ 6 และ นพ.เหวง โตจิราการ จำเลยที่ 7 เดินทางมาศาล รวมถึงนายนพรุจ หรือนพรุฒ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 , นายวีระศักดิ์ เหมะธุลิน , นายวันชัย นาพุทธา จำเลยที่ 1-3ด้วย โดยทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้ม
ซึ่ง นายวิภูแถลง บอกก่อนขึ้นรับฟังคำตัดสินของศาลว่า ไม่ได้รู้สึกกังวลใจพร้อมน้อมรับคำพิพากษาไม่ว่าผลออกมาเป็นอย่างไร ส่วนกรณีการกลับคำให้การยอมรับสารภาพนั้น เป็นการกลับคำให้การเพื่อบอกว่าไปหน้าบ้านสีเสาเทเวศร์จริงโดยมีเจตนาให้เกิดประโยชน์ต่อความมั่นคงประเทศในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันดังกล่าวถือว่าเกินความคาดหมาย
นพ.เหวง เปิดเผยด้วยว่า พร้อมน้อมรับฟังคำพิพากษาทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรยินดีน้อมรับโดยไม่มีปัญหาอะไร และ ยืนยันว่าจะยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไป ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่และเชื่อว่าการต่อสู้ทางประชาธิปไตยมีความก้าวหน้าขึ้นมากเพราะปัจจุบันมีการตื่นตัวทางการเมือง และฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับประชาธิปไตยได้แสดงอาการดิ้นรนทำให้ก้าวต่อไปที่ประชาชนเรียกร้องให้ยกร่างรัฐธรรมนูญโดย สสร. จะปรากฎเป็นจริงขึ้นได้ ส่วนกรณีที่จำเลยที่ 4-7 ขอกลับคำให้การเดิมจากปฏิเสธสู้คดีเป็นสารภาพผิด เพราะเห็นว่าต้องยอมรับเพราะมีคำพิพากษาออกมาเป็นลำดับ
ด้านนายณัฐวุฒิ ระบุว่า พร้อมน้อมรับคำตัดสินของศาลทุกกรณี และวันนี้หากไม่มีอิสระภาพก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการต่อสู้ และไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะมีคนรุ่นใหม่ออกมาต่อสู้ ส่วนตัวไม่ยอมรับการรัฐประหารและไม่เชื่อว่าอำนาจเผด็จการจะสร้างประชาธิปไตย และไม่เชื่อว่าจะนำพาบ้านเมืองไปทางที่ถูกต้องได้ ซึ่งตนเองไม่ได้ประสงค์ร้ายกับใครทั้งสิ้น ไม่ยอมรับที่คณะรัฐบาลทำในทางการเมือง
ทั้งนี้ขอเปรียบเทียบการเมืองกับการแข่งขันฟุตบอลว่าจะต้องมีกติกาเป็นสากลและทุกฝ่ายแข่งขันโดยบริสุทธิ์ยุติธรรมมิตรภาพเกิดขึ้น แต่ถ้าลงสนามที่กติกาเอื้อประโยชน์ต่อข้างใดข้างหนึ่ง ก็จะทำให้กองเชียร์ต้องมาลงสนามด้วย การเมืองไมมีนกหวีดหมดเวลา ยังคงต้องต่อสู้กันต่อไป
ขณะที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ หนึ่งในแกนนำนปช. ที่เดินทางมาให้กำลังใจวันนี้บอกว่า ถือเป็นเกียรติภูมิของคนเสื้อแดงในการต่อสู้เพื่อให้ประชาชนมีเสรีภาพ และเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แม้จะต้องเสียอิสรภาพ เพื่อถือเป็นความภาคภูมิใจของผู้ประสบชะตากรรมและทั้งหมดที่ทำอยู่บนจุดยืนเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม
สำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2558 ศาลชั้นต้นสั่งจำคุกนายนพรุจ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน ฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ส่วนนายวีระกานต์ , นายณัฐวุฒิ , นายวิภูแถลง และ นพ.เหวง จำเลยที่ 4-7 คนละ 4 ปี 4 เดือน ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายฯ และเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของ เจ้าพนักงานฯ และให้ยกฟ้องนายวีระศักดิ์ และนายวันชัย จำเลยที่ 2-3 ริบของกลาง
วันที่ 10 มกราคม 2560 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า พวกจำเลยมีความผิดฐานเป็น ผู้สนับสนุน ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ให้จำคุกคนละ 1 ปี และมีความผิดฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายโดยเป็นหัวหน้าสั่งการ ซึ่งเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก เป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 215 วรรคสาม เพียงกรรมเดียว จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 4 ปี คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 2 ปี 8 เดือน ส่วนนายนพรุจ จำเลยที่ 1 จำคุก 2 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ยกฟ้องจำเลยที่ 2-3 และในวันนี้ยังมีมวลชนกลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางมาให้กำลังใจด้วย .-สำนักข่าวไทย






