กรุงเทพฯ 22 มิ.ย.-ตำรวจบุกจับผู้ใช้แอปพลิเคชันปล่อยเงินกู้เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด พบมีลูกหนี้ถูกติดตามทวงเงินเดือนละกว่า 5,000 ราย โดยอายัดเงินในบัญชี 31 บัญชี พบมีเงินมากกว่า 22 ล้านบาท
พลตำรวจโทปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงผลการจับกุมกลุ่มต้องหาปล่อยเงินกู้นอกระบบ ที่มีพฤติการณ์ให้ประชาชนกู้ยืมเงินเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด หรือ ทำสัญญาเอารัดเอาเปรียบประชาชน ผ่านแอพพลิเคชันที่ใช้ชื่อว่า TRUE CASH PRO หลังตำรวจนำหมายศาลเข้าตรวจค้น 3 จุด คือ สำนักงานที่ตั้งของบริษัทปล่อยเงินกู้ ที่พักผู้ต้องหาในอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี , และบริษัททวงถามหนี้ย่านโชคชัย 4 พร้อมยึดของกลางเป็นคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊กและตั้งโต๊ะ รวม 22 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 35 เครื่อง พร้อมอายัดบัญชีธนาคาร 31 บัญชี จาก 6 ธนาคาร ยึดเงินในบัญชีได้กว่า 22 ล้านบาท จับกุมผู้ต้องหาสัญชาติจีนได้ 2 คน คือ นายล่าง จู และนายซง ซง จูโปรแกรมเมอร์คอยควบคุมระบบและดูแลติดตามผลการทวงหนี้ให้กับนายทุน ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงพระนครเหนือ ฐานร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต และเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด พร้อมนำตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องอีก 17 คน ไปสอบสวน
สำหรับพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ต้องหาจะเปิดแอพพลิเคชันให้กู้ยืมเงินผ่านช่องทางดาวน์โหลดทั่วไป ให้ลูกหนี้กรอกข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลที่ทำงาน หรือ เพื่อนที่รู้จัก เพื่อนำไปใช้ติดตามทวงหนี้ หากลูกหนี้ผิดสัญญา หรือจ่ายเงินช้ากว่าที่กำหนด กลุ่มทวงหนี้จะนำข้อมูลลูกหนี้ไปโพสต์ประจานให้เกิดความอับอาย ขณะที่ผลการสืบสวนพบว่าผู้ต้องหามีนายทุนอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีความระมัดระวังตัวสูง เมื่อทราบว่าตำรวจกำลังสืบสวน ก็มีการเปลี่ยนสถานที่ตั้งที่หลายครั้ง และยังนำกล้องวงจรปิดไปติดตั้ง เพื่อเตรียมลบข้อมูลทันทีที่ตำรวจเข้าตรวจค้น
ขณะที่หนึ่งในผู้เสียหาย ระบุว่า ได้กู้เงินเพื่อนำไปใช้จ่ายส่วนตัวประมาณ 2,500 บาท เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ได้รับเงินจริงแค่ 2,000 บาท ซึ่งได้ทยอยจ่ายไปจนครบ จนกระทั่งเมื่อกู้เงินครั้งที่ 2 เกิดจ่ายเงินล่าช้า ก็มีเจ้าหน้าที่มาติดตามทวงเงิน ซึ่งได้นัดหมายว่าจะจ่ายจนครบตอนสิ้นเดือนพฤษภาคม แต่ยังไม่ครบกำหนดนัด ก็มี Sms ส่งไปยังคนที่ตนรู้จักเกือบ 30 คน ซึ่งเป็นข้อความทวงถามเงิน และยังข่มขู่ต่างๆ นานา จึงตัดสินใจดำเนินคดี
พลตำรวจโทปิยะ บอกว่า จะเร่งติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือมาดำเนินคดี และยังมีอีกหลายบริษัทที่มีพฤติการณ์แบบเดียวกันนี้ ที่ตำรวจปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจกำลังเฝ้าเก็บข้อมูล เพื่อเตรียมดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป .-สำนักข่าวไทย