กรุงเทพฯ 11 มิ.ย. – บางจากฯ-กรุงไทยร่วมมือพัฒนาระบบ Mobile EDC จ่ายเงินในปั๊มน้ำมัน เชื่อมั่นยอดใช้จ่าย ยอดใช้น้ำมันฟื้นตัว จากคลายล็อกดาวน์ ลดเคอร์ฟิว แพ็กเกจหนุ่นท่องเที่ยว
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า ยอดการใช้จ่ายของประชาชนจะเพิ่มขึ้น หลังรัฐบาลคลายล็อกดาวน์และมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น รวมทั้งหากยกเลิก หรือ ผ่อนคลายเคอร์ฟิวเพิ่ม ก็ทำให้ยอดใช้จ่ายกลับมาดีขึ้น
ล่าสุดทั้ง 2 หน่วยงานได้ร่วมพัฒนาระบบชำระค่าบริการผ่านเครื่อง Mobile EDC ในปั๊มน้ำมัน จะใช้เวลาภายใน 1 นาทีต่อหน้าลูกค้า ลดระยะเวลารอคอย และสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัย ลดความกังวลเรื่องการนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้ ช่วยลดการสัมผัสเงินสด ป้องกันโควิด-19 โดยนำร่องที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก สาขาสุขุมวิท 62 และสาขาศรีนครินทร์ 1 ทำให้บางจากฯ เป็นรายแรกในไทยที่ให้บริการแบบครบวงจรในการรับชำระเงินค่าน้ำมันได้ทั้ง QR Code ผ่าน Mobile Application ของทุกธนาคาร รวมทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต พร้อมสะสมคะแนนในเวลาเดียวกัน ตั้งเป้าขยายบริการระบบ Digital Payment เพิ่มเติมในกรุงเทพฯ และปริมณฑลรวม 50 แห่งในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ และเพิ่มเป็น 200 แห่งสิ้นปีนี้
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่าด้วยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งหลังปีนี้มีทิศทางดีกว่าครึ่งปีแรก 2563 จากการฟื้นตัวของความต้องการใช้น้ำมันและทิศทางราคาที่ดีขึ้น แต่คาดว่าราคาน้ำมันคงจะไม่ปรับสูงมากนัก เนื่องจากทั่วโลกยังมีสตอกน้ำมันในช่วงราคาน้ำมันตกต่ำเก็บในเรือเป็นปริมาณสูง ส่วนยอดขายน้ำมันทั้งปี 2563 คาดจะลดลงไม่เกิน ร้อยละ 10 จากปีที่แล้ว โดยไตรมาสแรกเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้วปริมาณขายลดลงร้อยละ 6 โดยปกติบริษัทมีปริมาณขายน้ำมันรวม 400-500 ล้านลิตร/เดือน โดยเป็นส่วนที่ขายผ่านหน้าปั๊มน้ำมันประมาณ 340-350 ล้านลิตร/เดือน สำหรับยอดขายน้ำมันเดือนมิถุนายนลดลงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน นับว่าเป็นการใช้ที่เพิ่มขึ้น จากช่วงเดือน เมษายน 2563 ที่ลดลงร้อยละ 20 และกำลังติดตามว่าพฤติกรรมการท่องเที่ยวของคนไทยก็จะเปลี่ยนไป เช่น จีนหรือไม่ ที่มีการท่องเที่ยวลักษณะท่องเที่ยวกลุ่มเล็ก ขับรถไปเที่ยวเอง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งจีนหลังคลายล็อกดาวน์พบว่ามียอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 20
“จากการทยอยคลายล็อกดาวน์ ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกกลับคืนมา และล่าสุดก็ได้ข่าวหลายโรงกลั่นขนาดเล็กอาจจะปิดตัวถาวรจากที่ไม่สามารถแข่งขันได้ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ก็จะช่วยผลักดันราคาและค่าการกลั่นให้ดีขึ้น ทำให้คาดว่าค่าการกลั่น (GRM) ไม่รวมผลกระทบจากสตอกน้ำมัน ในไตรมาส 2/2563 น่าจะใกล้เคียง หรือสูงกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระดับ 2.87 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 1/2563” นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า บริษัทได้ทบทวนการลงทุนตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยปีนี้ลดการลงทุนสร้างปั๊มใหม่ร้อยละ 10 เหลือประมาณ 54-55 แห่ง จากแผนเดิมจะเปิดทั้งหมด 60 แห่งในปีนี้ รวมถึงลดใช้กำลังการกลั่นจากแผนประมาณร้อยละ 20 ในปีนี้ ล่าสุดเดือนมิถุนายนกลั่นน้ำมันในระดับร้อยละ 90 จากกำลังการกลั่นเต็มที่ 120,000 บาร์เรล/วัน และในส่วนโครงการปิโตรเลียม บริษัท OKEA ที่นอร์เวย์นั้น แม้ว่าจะมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำราว 15 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่เมื่อรวมกับภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ และการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ไตรมาสแรกที่ผ่านมาทำให้มีผลขาดทุน แต่ล่าสุดรัฐบาลนอร์เวย์ได้ออกกฎหมายที่จะจ่ายภาษีคืนเป็นเงินสดให้กับบริษัทที่ขาดทุน ก็จะทำให้ OKEA ได้รับภาษีกลับคืนมาประมาณ 70-80 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งก็จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัท.-สำนักข่าวไทย