สธ.11มิ.ย.–กรมควบคุมโรค เผยผลสำรวจการสวมหน้ากากอนามัย และการล้างมือ พบวัยรุ่นการ์ดตก เพราะคิดว่าสถานการณ์โรคโควิดดีขึ้น ทั้งที่ความจริงจะสบายใจได้ต่อเมื่อปลอดโรค 28 วันติดต่อกัน
นพ.อนุพงศ์ สุจริยากุล ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงผลการสำรวจความคิดประชาชนแบบออนไลน์ ครั้งที่ 8 ซึ่งเข้าสู่ระยะการผ่อนปรนในเฟส 3 ช่วงวันที่ 1- 6 มิถุนายน 2563 จำนวน 1,287 ตัวอย่าง เรื่องของการสวมหน้ากากอนามัย และการล้างมือ โดยพบว่าเมื่อมีอาการไข้หรือไอ เจ็บ คอ พบว่ามีการสวมหน้ากากอนามัย ร้อยละ 93.1 โดยย้ำว่าการสวมหน้ากากอนามัยเป็นการป้องกันโรคไม่ให้แพร่ไปสู่ผู้อื่น และเมื่อไม่มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีการสวมหน้ากากอนามัยหรือไม่ พบว่า มีสวมอยู่ร้อยละ 66.8
ทั้งนี้ เชื่อว่าเป็นเพราะสถานการณ์ของโรคได้มีการเปลี่ยนแปลงไป ทำให้แนวโน้มการสวมหน้ากากลดลง
ส่วนเรื่องของแนวโน้มสมควรเลิกสวมหน้ากากอนามัยเมื่อใด ร้อยละ 53.5 จะยังคงสวมหน้ากากอนามัยต่อไป ส่วนร้อยละ 44 จะเลิกสวมหน้ากากอนามัยต่อเมื่อ ไม่มีรายงานผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพราะหน้ากากอนามัยไม่จำเป็น ส่วนการล้างมือด้วยสบู่และน้ำ ส่วนใหญ่ประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยเฉพาะก่อนและหลังรับประทานอาหาร ร้อยละ 90.5
ทั้งนี้ หากจำแนกตามเพศ พบว่า เพศหญิงให้ความร่วมมือในทุกกิจกรรมมากกว่าเพศชาย ขณะที่กลุ่มอ่ายุ 15-24 ปี มีถึงร้อยละ 15.65 ไม่สวมหน้ากากอนามัย
นพ.อนุพงศ์ กล่าวย้ำว่า มาตรการการสวมหน้ากากอนามัยยังต้องคงไว้ เพราะเราไม่สามารถทราบได้ว่าใครติดเชื้อหรือไม่ เพราะการผ่อนคลายกิจกรรมและกิจการต่าง มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก วันนี้เข้าสู่วันที่ 17 วัน แล้วที่ประเทศไทย ไม่พบการติดเชื้อในประเทศ แต่ยังต้องตั้งการ์ดต่อไป จนกว่าจะไม่พบผู้ป่วยติดกันเป็นเวลา 28 วัน ถึงจะสบายใจได้ เชื่อการเผชิญกับโควิด ยังคงมีไปอีกนานอย่างน้อย 1 ปี ดังนั้นจึงอยากให้คิดเสมอว่า หน้ากากอนามัยเป็นปัจจัยที่6 ของชีวิต นอกจากปัจจัย 4 พื้นฐาน และปัจจัยที่ 5 โทรศัพท์มือถือ .-สำนักข่าวไทย