เปิดรับฟังห้ามนำเข้ารถจักรยานยนต์ใช้แล้ว

นนทบุรี 22 พ.ค. – กรมการค้าต่างประเทศเปิดรับฟังความคิดเห็นร่างประกาศห้ามนำเข้ารถจักรยานยนต์ใช้แล้ว รถจักรยานไฟฟ้าใช้แล้ว และรถจักรยานใช้แล้วที่ติดตั้งมอเตอร์ช่วย แต่ไม่รวมถึงรถพ่วงข้างที่ไม่ได้ติดตั้งมาพร้อมกับตัวรถ เพื่อป้องกันปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน เปิดแสดงความคิดเห็นตั้งแต่บัดนี้ถึง 15 มิ.ย.63


นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ยกร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องกำหนดให้รถจักรยานยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. … โดยห้ามนำเข้ารถจักรยานยนต์ใช้แล้ว รถจักรยานไฟฟ้าใช้แล้ว และรถจักรยานใช้แล้วที่ติดตั้งมอเตอร์ช่วย แต่ไม่รวมถึงรถพ่วงข้างที่ไม่ได้ติดตั้งมาพร้อมกับตัวรถ โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประกาศดังกล่าว ผ่านทางเว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ (www.dft.go.th) ระหว่างวันที่ 12 พฤษภาคม – 15 มิถุนายน 2563

ท้ังนี้ การยกร่างประกาศดังกล่าวเป็นการทบทวนมาตรการควบคุม เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยปรับปรุงจากประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับเดิม เรื่อง การนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 113) ซึ่งได้บังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2539 เป็นมาตรการควบคุมการนำเข้ารถจักรยานยนต์ใช้แล้วตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภท 87.11 ซึ่งกรมฯ ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 17 หน่วยงาน อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ กรมการขนส่งทางบก กรมการอุตสาหกรรมทหาร กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสถาบันยานยนต์ เป็นต้น 


อย่างไรก็ตาม ในประชุมหารือและมีมติเห็นชอบให้รถจักรยานยนต์ใช้แล้ว รถจักรยานไฟฟ้าใช้แล้ว และรถจักรยานใช้แล้วที่ติดตั้งมอเตอร์ช่วย แต่ไม่รวมถึงรถพ่วงข้างที่ไม่ได้ติดตั้งมาพร้อมกับตัวรถเป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้า โดยขอบเขตการควบคุมสินค้า ได้แก่ รถจักรยานยนต์ใช้แล้ว รถจักรยานไฟฟ้าใช้แล้ว และรถจักรยานใช้แล้วที่ติดตั้งมอเตอร์ช่วย ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภท 87.11 และรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้วที่มีอายุเกิน 100 ปีขึ้นไป (รถโบราณ) ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภท 97.06

นอกจากนี้ ในที่ประชุมฯ ยังมีมติให้รถจักรยานยนต์ใช้แล้วดังต่อไปนี้ ได้รับยกเว้นไม่อยู่ภายใต้มาตรการควบคุมของกระทรวงพาณิชย์ ดังนี้  คือ 1.รถของหน่วยงานหรือบุคคลที่ได้รับเอกสิทธิ์ 2.รถซึ่งได้รับบริจาคภายใต้แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ 3.รถนำเข้าหรือส่งออกชั่วคราว 4.รถที่เคยจดทะเบียนใช้งานในไทย แต่ไม่สามารถจดทะเบียนใช้งานในต่างประเทศได้ 5.รถต้นแบบสำหรับการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ 6.รถเพื่อจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ และ 7.รถที่เป็นยุทธภัณฑ์  

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การออกกฎหมายดังกล่าวเป็นไปด้วยความรอบคอบ กรมฯ ขอเชิญหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมทั้งผู้สนใจร่วมแสดงความคิดเห็นต่อร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ฉบับดังกล่าวได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2563 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กองบริหารการค้าสินค้าทั่วไป กลุ่มอุตสาหกรรม 1 โทร. 0 2547 5124 หรือสายด่วนกรมการค้าต่างประเทศ 1385 เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ใบประกอบวิชาชีพครู

เตือนคุณครูเปิดเทอมนี้ ต้องมี “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู”

เตือนคุณครูเปิดเทอมนี้ ต้องมี “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู” แนะรีบต่ออายุใบอนุญาต หลังคุรุสภาออกมาตรการ 5 ต. คุมเข้มทุกโรงเรียนทั่วไทย

เริ่ม 1 พ.ค.นี้ นักท่องเที่ยวเข้าไทย ต้องลงทะเบียนบัตร ตม.6 แบบดิจิทัล

เริ่ม 1 พ.ค.นี้ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าไทย ต้องลงทะเบียนบัตร ตม.6 แบบดิจิทัล หรือ TDAC ล่วงหน้า อย่างน้อย 3 วันก่อนเดินทาง ตามกฎใหม่ ตม.

พีชเรียกอาต่าย

ผบ.ตร.ไม่ปลื้ม “พีช” โอ้อวดเรียก “อาต่าย” ลั่นไม่ใช่ญาติ

ผบ.ตร.ไม่ปลื้ม “พีช” คู่กรณีรถกระบะ โอ้อวดเรียก “อาต่าย” รู้จักคนในรัฐบาล หวังผลคดี ลั่นไม่ใช่ญาติ สอนลูกเสมออย่าทำตัวเป็นขยะสังคม บอกประชาชนใช้วิจารณญาณเลือกตั้ง

“นายกเบี้ยว” ยอมรับลูกขับรถหวาดเสียว พร้อมชดใช้-ดูแลลุงคู่กรณี

“นายกเบี้ยว” รับจบแทนลูก ยอมรับลูกขับรถหวาดเสียว พร้อมชดใช้ ดูแลลุงคู่กรณี ระบุสอนลูกไม่ดี ไม่มีเวลาให้ลูก ปฏิเสธไม่สนิทกับ ผบ.ตร. อย่าเอาท่านมาแปดเปื้อน ส่วนที่ลูกชายยังไม่ไปเยี่ยมลุงคู่กรณี เนื่องจากกลัวโดนถูกโวยวาย

ข่าวแนะนำ

ปล่องลิฟต์ตึกถล่ม

กทม.เดินหน้าเจาะปล่องลิฟต์ ค้นหาผู้สูญหายตึก สตง.

ผู้ว่าฯ กทม. เผยปฏิการค้นหาร่างผู้สูญหายจากเหตุตึก สตง.ถล่ม วันนี้เน้นเจาะปล่องลิฟต์-บันไดหนีไฟ หลังวานนี้ (18 เม.ย.) พบผู้เสียชีวิตในจุดดังกล่าวเพิ่มอีก 6 ราย ยืนยัน กทม. ให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานในการเข้า เก็บพยานหลักฐาน เพื่อหาตัวผู้รับผิดชอบกับเหตุการณ์ดังกล่าว