“องอาจ”ห่วงรัฐใช้เงิน 4 แสนล้านไม่ตรงเป้าหมาย

พรรคประชาธิปัตย์ 20 พ.ค.-“องอาจ” ห่วงเงิน 4 แสนล้านบาทแค่พยุ่งเศรษฐกิจ ไม่ถึงขั้นฟื้นฟู แนะนายกฯ กำชับกก.กลั่นกรองพิจารณาโครงการที่เกิดประโยชน์จริง ตรงเป้าหมาย  หวั่นลูบหน้าปะจมูก


นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคและประธานส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการใช้เงินตามพ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ในส่วนของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาทว่า รัฐบาลตั้งเป้าหมายใช้เงินให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น เศรษฐกิจชุมชนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพราะวิกฤตโควิด-19 กระทบเศรษฐกิจตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 1 ถึงไตรมาสที่ 2 จึงต้องใช้เงินอัดฉีดและดูแลเศรษฐกิจภายในประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวม 

“แต่เมื่อพิจารณากรอบการใช้เงินของโครงการต่าง ๆ ทั้ง 4 ด้าน คือโครงการเกี่ยวข้องกับเกษตรอินทรีย์ โครงการพัฒนาและเพิ่มแหล่งน้ำในชนบท โครงการฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวในชุมชน โครงการฝึกและพัฒนาอาชีพให้กับคนในท้องถิ่นแล้ว พบว่ายังไม่ถึงขั้นจะฟื้นฟูเศรษฐกิจได้เท่าที่ควร น่าจะเป็นการช่วยพยุงเศรษฐกิจให้ไปได้มากกว่า เพราะผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ก่อให้เกิดสภาวะเศรษฐกิจทรุดทั้งระบบแบบไม่ทันตั้งตัว ได้รับผลกระทบกันทั่วหน้ามากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป เม็ดเงิน 4 แสนล้านบาทจึงน่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจชุมชน เศรษฐกิจท้องถิ่นระดับฐานรากให้ลุกขึ้นลืมตาอ้าปากได้ตามสมควร” นายองอาจ กล่าว


นายองอาจ กล่าวว่า การจะฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เข้มแข็งเดินหน้าไปได้ น่าจะอยู่ที่การจัดการงบประมาณประจำปี 2564 ที่สามารถอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบผ่านการลงทุนของภาครัฐที่จะช่วยให้เกิดผลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างจริงจัง และการที่จะใช้งบ 4 แสนล้านบาทในการพยุงเศรษฐกิจให้เกิดผล หัวใจสำคัญอยู่ที่ต้องใช้เงินให้ตรงจุด ตรงเป้าหมาย ใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพให้เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง แต่เมื่อพิจารณาลำดับขั้นตอนการใช้เงินแล้วรู้สึกเป็นห่วงว่าจะใช้เงินตรงจุดหรือไม่ เพราะลำดับขั้นตอนการใช้เงินโดยให้หน่วยงานต่าง ๆ ต้องเสนอเรื่องให้คณะกรรมการฟื้นฟู 

“หลังจากนั้นก็นำเข้าคณะกลั่นกรองก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) แล้วส่งเรื่องไปให้คลังกู้เงินนั้นอาจจะเกิดการลูบหน้าปะจมูกได้ เนื่องจากคณะกรรมการ หรือคณะกลั่นกรองส่วนมากเป็นข้าราชการที่คุ้นเคยกับหน่วยงานต่าง ๆ เกรงว่าจะพิจารณาเรื่องใช้เงิน 4 แสนล้านบาทแบบเกรงใจกัน ปล่อยให้มีโครงการที่ไม่ได้ช่วยพยุงเศรษฐกิจเพื่อเป็นฐานรากในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างแท้จริง กลายเป็นโครงการที่ช่วยพยุงความต้องการของหน่วยงานต่าง ๆ หรือเอาโครงการที่หลุดจากงบประมาณปกติมาแต่งตัวใหม่เสนอให้คณะกรรมการพิจารณา ซึ่งจะทำให้การใช้เงิน 4 แสนล้านบาทไม่เกิดประโยชน์ตามเป้าหมาย ขอฝากนายกรัฐมนตรีกำชับทุกหน่วยงานให้เสนอโครงการใช้เงิน 4 แสนล้านบาทที่เป็นไปตามเป้าหมายอย่างจริงจัง และควรย้ำให้คณะกรรมการฟื้นฟูรวมทั้งคณะกลั่นกรอง ทำหน้าที่กรองให้ละเอียด เพื่อให้การใช้เงินทุกบาท ทุกสตางค์อย่างคุ้มค่า นำพาให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้อย่างแท้จริง” นายองอาจ กล่าว.-สำนักข่าวไทย       


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง