ทำเนียบฯ 3 พ.ค.- ศบค.แถลงพบผู้ป่วยใหม่ 3 ราย ไม่มีเสียชีวิตเพิ่ม เผยข่าวพบ 40 ผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ยะลาผิดปกติ เร่งตรวจเชื้อซ้ำอีกรอบวันนี้ ขณะ ผบ.ทสส. ชี้พร้อมสั่งปิดร้านค้าที่ละเลยมาตรการสาธารณสุข ด้านมหาดไทย ย้ำรัฐบาลตรึงมาตรการห้ามเดินทางข้ามเขตจังหวัด ชี้จำเป็นต้องกักตัวที่ภูมิลำเนา ยันประชาชนจากภูเก็ตลงทะเบียนผ่านการคัดกรองแล้ว
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์โควิด-19 ว่า วันนี้ (3 พ.ค.) ไทยมีรายงานผู้ป่วยใหม่ 3 ราย รวมผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 2,969 ราย รักษาหาย 2,739 ราย รักษาตัวอยู่ 176 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิตคงเดิม รวม 54 ราย
โฆษก ศบค. กล่าวว่า จากจำนวนตัวเลขผู้ป่วยใหม่ 3 ราย พบว่า มาจากการสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 2 ราย เป็นคนใน กทม.ทั้งคู่ และเป็นผู้ป่วยที่เดินทางมาจากประเทศมาเลเซีย และเข้ากักกันตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ในจังหวัดนราธิวาส 1 ราย
นพ.ทวีศิลป์ เปิดเผยอีกว่า ศบค.ได้สั่งการตรวจสอบข้อเท็จจริงการเผยแพร่ว่ามีผู้ติดเชื้อกว่า 40 คนที่จังหวัดยะลา พบว่า เป็นการค้นหาผู้ติดเชื้อแบบเชิงรุก 311 คน ทราบผลตรวจตรวจเบื้องต้น มี 271 คนที่เป็นลบ และมี 40 คนที่ยืนยันในเบื้องต้นว่ามีผลเป็นบวก ซึ่งบางอำเภอผลพบเชื้อ 30.77 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าปกติ จึงน่าสงสัยได้ว่า กระบวนการตรวจนั้นถูกต้องหรือไม่ ดังนั้น จึงขอเวลาการเก็บตัวอย่างใหม่อีกครั้งในวันนี้ (3 พ.ค.) โดยคนที่มีผลตรวจเบื้องต้นว่า ติดเชื้อจะถูกกักตัวและตรวจซ้ำในมาตรฐานที่เชื่อถือได้ และจะแจ้งให้ทราบใหม่อีกครั้ง ยืนยัน จะไม่มีการปกปิด จะเสนอความจริงให้มากที่สุด
โฆษก ศบค. กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังได้ออกมาเตือนทั่วโลก ว่า ต้องคลายล็อคอย่างช้า ๆ เตรียมรับโควิด-19 ที่จะพุ่งขึ้นอีกรอบ โดยเน้นดำเนินการป้องกันบุคคลที่มีความเสี่ยงในสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงสถานดูแลระยะยาวอย่างที่พักแรงงานต่างชาติ รวมถึงต้องตรวจหาเชื้อในกลุ่มผู้ต้องสงสัยอย่างต่อเนื่อง แม้จะสามารถควบคุมการระบาดไว้ได้แล้วก็ตาม
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ส่วนกลุ่มคนไทยที่เดินทางผ่านช่องทางอากาศวันนี้ (3 พ.ค.) เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศสเปน 45 คน เที่ยวบิน IB 2833 ลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 18.55 น. ประเทศสิงคโปร์ 176 คน เที่ยวบิน SQ 976 ลงที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลา 17.25 น. ประเทศรัสเซีย 70 คน เที่ยวบิน SU 272 ลงที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลา 10:30 น และในวันพรุ่งนี้ (4 พ.ค.) มีคนไทยเดินทางกลับจากมัลดีฟส์ จำนวน 125 คน เที่ยวบิน Q2 9350 ลงที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลา 15.15 น เขตปกครองพิเศษฮ่องกง 165 คน เที่ยวบิน we631 ที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลา 15.55 น รวมระหว่างวันที่ 4 เมษายนถึง 2 พฤษภาคม มีคนไทยเดินทางเข้าประเทศและทั้งสิ้น 3,981 คนใน 23 ประเทศ
โฆษก ศบค. กล่าวว่า สำหรับสถิติคนไทยเดินทางเข้าประเทศผ่านจุดแดนทางบก มีการลงทะเบียน 411 คน เดินทางเข้าประเทศรวม 590 คน เป็นเมียนมาร์ 15 คนมาเลเซีย 541 คน ลาว 10 คน กัมพูชา 24 คน รวมระหว่างวันที่ 18 เมษายน ถึง 3 พฤษภาคม 2563 มี มีการเดินทางกลับเข้าประเทศแล้ว 6,819 คน กลับบ้านแล้ว 636 คน และอยู่ระหว่างการป้องกันโรค 6,183 คน ส่วนการฝ่าฝืนการประกาศห้ามออกนอกเคหสถานเวลา 22.00 ถึง 04.00 น. พบผู้กระทำความผิดฝ่าฝืนออกนอกเคหสถาน 554 คน แบ่งเป็นตักเตือน 39 คนและดำเนินคดี 515 คน มั่วสุมชุมนุม มีการฝ่าฝืน 107 คนโดยเป็นการดำเนินคดีทั้งหมด
พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) ชี้แจงถึงการผ่อนคลายมาตรการ เพื่อให้กิจการบางประเภทที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และถูกสั่งปิดกลับมาเปิดกิจการได้ในวันนี้ (3 พ.ค.) เป็นวันแรกว่า ใน 2-3 วันที่ผ่านมา เกิดการเดินทางในประเทศจำนวนมาก ซึ่ง ศบค.และรัฐบาลไม่เคยแนะนำให้ประชาชนผ่อนคลายมาตรการในการเดินทางในเวลานี้ เพราะตามข้อห้ามในมาตรการตามสถานการณ์ฉุกเฉิน ยังขอให้ประชาชนงดการเดินทางโดยไม่จำเป็น
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยังชี้แจงถึงมาตรการมาตรฐาน ที่ผู้ประกอบการจะต้องปฏิบัติตาม เพื่อรักษาความสะอาด และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ว่า ขอให้ผู้ประกอบการ เข้มงวดกับมาตรการที่รัฐบาล และ ศบค.กำหนด เพราะหลังจากนี้จะมีเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจไปสุ่มตรวจ จึงขอความร่วมมือสถานประกอบการให้ความร่วมมือ และในแต่ละพื้นที่ รองรับประชาชนได้ 10 ตารางเมตร ต่อประชาชน 1 คน หากไม่ปฏิบัติตาม จะมีมาตรการจากเบาไปถึงหนัก ตั้งแต่การตักเตือน และสั่งปิด เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า จะได้รับความปลอดภัยจากการผ่อนคลายมาตรการต่อไป ส่วนการตั้งจุดตรวจหลังผ่อนคลายมาตรการนั้น จะมีการตั้งจุดตรวจ ที่จะเพิ่มความเข้มงวดนับจากนี้ไปอีก 28 วัน แม้จะมีการปรับลดจำนวนจุดตรวจตามพื้นที่ต่าง ๆ และเพิ่มการสุ่มตรวจมากขึ้น
ด้าน นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีมาตรการงดหรือชะลอการเดินทางข้ามเขต เว้นแต่มีความจำเป็นที่จะต้องแสดงหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ ให้เกิดความชัดเจน จึงขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายด้วย ซึ่งการกักตัว จะมีขึ้นเมื่อประชาชนกลับถึงปลายทางการเดินทางแล้ว แต่หากมีการพักค้างคืนระหว่างทาง หรือ พำนักเพียง 2-3 วันในระยะเวลาสั้น ๆ ก็จะมีการขอเก็บข้อมูล เพื่อเฝ้าระวังและติดตามโรคต่อไป
นายฉัตรชัย ยังกล่าวถึง กระแสข่าวที่จังหวัดภูเก็ตปล่อย ประชาชนออกมาจากพื้นที่เป็นจำนวนมากว่า มีการตรวจสอบไปแล้ว จังหวัดภูเก็ตมีทั้งสิ้น 17 ตำบล มีประชาชนที่เข้าไปทำงานกว่า 1 แสนคน และประสงค์ออกจากพื้นที่กว่าครึ่ง เนื่องจากไม่มีงานทำ ทางจังหวัดจึงคัดกรองตามมาตรฐานที่ให้ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง ยืนยันแล้วว่า ไม่พบเชื้อ 14 ตำบล เหลืออีก 3 ตำบลที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ รวมสติถิเมื่อเช้านี้ (3 พ.ค) เวลา 09.00 น. มีประชาชนทยอยออกจากพื้นที่แล้วกว่า 3, 600 คน โดยมีหลักฐานยืนยันตัวตนอย่างชัดเจน ดังนั้น ขอให้ประชาชนมั่นใจในมาตรฐานและ มาตรการของรัฐบาลด้วย นอกจากการร่วมมือกันทุกภาคส่วนแล้ว ยังขอให้ประชาชนคำนึงถึง ระเบียบของสังคม ป้องกันตนเองและผู้อื่น และยืนยันว่า รัฐบาลยังตรึงเวลาเคอร์ฟิว ห้ามออกจากเคหะสถานออกไปถึงสิ้นเดือนนี้เวลา 22.00น.-04.00 น. จึงขอให้ปฎิบัติอย่างเคร่งครัด
นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ขอความร่วมมือประชาชนชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด เพราะเป้าหมายต้องการให้ทุกคนอยู่บ้าน แต่หากมีความจำเป็นก็ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด ระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งทางรถไฟ รถประจำทาง เครื่องบิน มีการคัดกรองตั่งแต่ต้นทางไปถึงปลายทาง วัดอุณหภูมิ หากมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าที่กำหนดก็จะไม่ให้เดินทาง และยังคงเข้มเรื่องการเว้นระยะห่าง ขายตั๋วตามจำนวน รวมถึงต้องสวมหน้ากากอนามัย
นายชัยวัฒน์ ยังขอให้ผู้ที่ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ มั่นใจกับการเดินทาง เพราะมีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อทุกสถานีและสนามบิน รวมถึงพาหนะที่ประชาชนใช้บริการก็มีการทำความสะอาดทุกรอบทุกวัน รวมถึงเช็คสุขภาพอนามัยของเจ้าหน้าที่ให้บริการด้วย.-สำนักข่าวไทย