สธ.17เม.ย.–อธิบดีกรมอนามัยเตือนในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่ควรนำทารกแรกเกิดออกนอกบ้าน ยกเว้นพาไปฉีดวัคซีน ให้นำเด็กใส่รถเข็นที่มีผ้าคลุมปิด เว้นระยะห่างและงดการหอมแก้มเด็ก เพราะละอองฝอยของน้ำลาย อาจก่อให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 นอกจากกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มหญิงตั้งครรภ์และหญิงหลังคลอด ทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก ถือเป็นอีกกลุ่มเสี่ยงที่ต้องให้ความสำคัญในการป้องกันเป็นพิเศษ โดยเฉพาะพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงเด็ก ควรสร้างสุขอนามัยที่ดีด้วยการล้างมือด้วยสบู่และน้ำหรือเจลแอลกอฮอล์ก่อนสัมผัสทารก และสวมหน้ากากเสมอ หากผู้เลี้ยงเด็กมีอาการไม่สบาย โดยเฉพาะมีอาการทางระบบหายใจ มีไข้ ไอ จาม งดเข้าใกล้ทารกเด็ดขาด
สิ่งสำคัญ คือไม่ควรนำทารกแรกเกิดออกนอกบ้าน ยกเว้นการพาไปฉีดวัคซีนตามกำหนด หรือไปพบแพทย์เมื่อมีอาการป่วย โดยแนะนำให้อุ้มแนบกับอก หรือนำเด็กใส่รถเข็นที่มีผ้าคลุมปิด เว้นระยะห่างจากผู้อื่นในระยะ 2 เมตรอย่างเคร่งครัด และให้งดการหอมแก้มเด็กและใกล้ชิดเด็กมากเกินไปเพราะละอองฝอยของน้ำลาย อาจก่อให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้
นอกจากนี้ ควรเลือกสวมหน้ากากป้องกันให้เด็กที่เหมาะสมตามช่วงอายุเมื่อจำเป็นต้องออกนอกบ้าน
1) เด็กทารกแรกเกิด-1ปี พ่อแม่ไม่ควรสวมหน้ากากให้เพราะเด็กเล็กระบบการหายใจยังไม่แข็งแรงพอ เสี่ยงภาวะคาร์บอนไดออกไซด์คั่งได้เนื่องจากทารกแรกเกิดหายใจทางจมูกเป็นหลัก ยังไม่มีความสามารถในการหายใจชดเชยด้วยการอ้าปากหายใจได้ เมื่อมีการขาดอากาศ หรือออกซิเจนจะมีโอกาสเกิดการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดอันตรายต่อระบบประสาทของทารกได้ และในกรณีการใช้วัสดุพลาสติก บังหน้าทารก ความคมของพลาสติกอาจทำให้บาดใบหน้า และดวงตาของทารกได้
2) เด็กอายุ 1-2 ปี เด็กบางคนสามารถถอดหน้ากากเองได้เมื่อรู้สึกอึดอัด หากจำเป็นต้องใส่หน้ากาก ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง และใส่เพียงระยะเวลาสั้นที่สุด
และ3)เด็กอายุมากกว่า 2ปีสวมใส่หน้ากากได้เพราะสามารถถอดหน้ากากออกได้เมื่อรู้สึกอึดอัด ยกเว้นเด็กที่มีกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเด็กที่มีความบกพร่องทางสมอง พ่อแม่ควรให้ ความระมัดระวังเป็นพิเศษ .-สำนักข่าวไทย