เพื่อไทยจี้รัฐตัดงบฯ ไม่จำเป็นก่อนกู้เงิน

กรุงเทพฯ 14 เม.ย.-“คุณหญิงสุดารัตน์” แถลงจี้รัฐตัดงบไม่จำเป็นก่อนกู้เงิน ย้ำเกษตรกรต้องได้ 35,000 บาทอย่างมั่วถึงและเป็นธรรม พร้อมเตรียมผ่อนคลายมาตรการให้ประชาชนทำมาหากิน


คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย แถลงในนามพรรค ชี้มาตรการการเงินและการคลังใน พ.ร.ก.การเงิน กว่า 1.9 ล้านล้านบาทของรัฐบาลที่ใช้แก้วิกฤตโควิด-19 ต้องเยียวยาประชาชนอย่างทั่วถึงเป็นธรรม โดยเสนอให้รัฐบาลแสดงความพยายามในการปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นในปีงบประมาณ 2563 ลงก่อน คาดว่าหากยอมปรับลดงบที่ไม่จำเป็นลงประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้มีเงินงบประมาณมาดำเนินการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19 ประมาณ 5 แสนล้านบาท และจะทำให้เหลือเงินกู้เพิ่มเพียง 5 แสนล้านบาท และสำหรับการทำแผนงบประมาณปี 2564 ต้องทบทวนเพื่อตัดงบที่ไม่จำเป็นทิ้ง จะทำให้ได้งบสนับสนุนเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง

“อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่สามารถปรับลดงบประมาณฯ ได้ตามเป้าหมาย 5 แสนล้านบาท ก็ควรมีคำอธิบายต่อพี่น้องประชาชนว่าได้พยายามในการปรับลดแล้วอย่างไรบ้าง ติดขัดที่ตรงไหน และมีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างไร รวมถึงสรุปให้เห็นชัดเจนว่าสามารถลดวงเงินจากการกู้ 1.0 ล้านล้านบาท ได้มากที่สุดเท่าใด เพราะเหตุใด” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว


คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า การใช้งบประมาณกว่า 1.9 ล้านล้านบาท จะต้องเกิดประสิทธิผลสูงสุด ทั้งด้านการดูแล เยียวยาประชาชน การดูแลบุคลากรด้านสาธารณสุข การดูแลธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ และการลงทุนเพื่อให้เกิดผลตอบแทนทางเศรษฐกิจทั้งปัจจุบันและในอนาคต อยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยพรรคเพื่อไทยมีข้อเสนอหลัก ๆ 4 ประการ ซึ่งเคยเสนอไปแล้ว ได้แก่ ช่วยเหลือตามมาตรการเยียวยา รายละ 5,000 บาทอย่างครอบคลุมและทั่วถึง ซึ่งต้องรวมถึงเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อน ทั้งจากโรคระบาดและภัยแล้ง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ โดยย้ำว่าสำหรับเกษตรกรนั้น พรรคเพื่อไทยได้เสนอให้เยียวยาเป็นรายครอบครัว ๆ ละ 35,000 บาท เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบซ้ำซ้อน ทั้งจากภัยโควิดและภัยแล้ง ขณะเดียวกันต้องจัดสรรเงินอย่างเพียงพอและทั่วถึง เพื่อจัดหาเครื่องมือ เครื่องใช้ และอุปกรณ์ทางการแพทย์และการสาธารณสุข เพื่อหยุดการแพร่ระบาด การรักษาผู้เจ็บป่วย และการป้องกัน ทั้งประชาชนและบุคลากรทางด้านสาธารณสุขจากเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยไม่ปล่อยให้ขาดแคลนอุปกรณ์ หรือมีการกักตุน โก่งราคาสินค้า ดังเช่นที่เกิดขึ้นตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

คุณหญิงสุดารัตน์ ยังกล่าวถึงการสนับสนุนสินเชื่อ หรือยกเว้นภาษีเกี่ยวกับการนำเข้าเพื่อลงทุนเกี่ยวกับเครื่องมือ อุปกรณ์ หรือเครื่องใช้ที่ปลอดภัยจากไวรัส เช่น เครื่องปรับอากาศ ฆ่าเชื้อ เป็นต้น รวมทั้งการจัดอบรมบุคลากรที่อยู่ในอุตสาหกรรมบริการให้มีมาตรฐานความปลอดภัยทางด้านสาธารณสุข เพื่อให้ไทยเป็นประเทศที่มีทั้งสถานที่และการบริการที่ปลอดภัยจากไวรัส ทำให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุนที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศในอนาคต มีความเชื่อมั่นมากขึ้น

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า สำหรับ SME ไทยนั้น กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ได้เข้าถึงระบบการกู้จากธนาคารตามปกติ รัฐต้องช่วยให้เข้าถึงเงินกู้ ที่มีรายได้มากกกว่า 25 ล้านบาทต่อปี ควรเน้นไปที่มาตรการด้านภาษี ความสะดวกหรือสิทธิพิเศษในการส่งออกหรือนำเข้า และการตลาด ส่วน SME ที่มีรายได้ 100,000-10,000,000 ล้านบาท ควรเน้นมาตรการทางภาษี แหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ และการตลาด สำหรับ SME ในต่างจังหวัดนั้น ใช้งบผู้ว่าราชการจังหวัด 20 ล้าน ดูแลได้ทันทีและควรมอบอำนาจให้ผู้ว่าฯ ดู SME ต่างจังหวัดอย่างรอบด้าน เพราะผู้ว่าฯ มีข้อมูล SME ในจังหวัดของตนเองครบถ้วนอยู่แล้ว ทั้งนี้รัฐบาลต้องชี้ให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ของประเทศว่าวิสาหกิจที่จะพลิกฟื้นและเปลี่ยนวิกฤติโควิด-19 ให้เป็นโอกาสอย่างรวดเร็วได้นั้น จะต้องเน้นที่พื้นฐานอันจำเป็นของชีวิตเป็นเบื้องต้น เช่น อาหาร สุขภาพ ยารักษาโรค ทั้งแบบสมัยใหม่และแบบสมุนไพร วัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับการสาธารณสุข


คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวด้วยว่า พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปล่อยกู้ตรงกับภาคเอกชน โดยในส่วนพระราชกำหนดให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลเสถียรภาพภาคการเงินวงเงิน 400,000 ล้านบาท โดยจัดตั้งกองทุนรวมเสริมสภาพคล่องตราสารหนี้ภาคเอกชน เพื่อซื้อตราสารหนี้เอกชนคุณภาพที่ดีครบกำหนดชำระในช่วงปี พ.ศ.2563-2564 นั้น พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ธปท.ไม่ควรเป็นผู้ให้กู้โดยตรงกับภาคเอกชน ทั้งนี้ เพื่อรักษาหลักการของการเป็นธนาคารกลางของประเทศที่มีความน่าเชื่อถือไว้ จึงควรให้ธนาคารพาณิชย์รับซื้อ แล้วจึงนำมาเป็นหลักประกันเพื่อกู้เงินจำนวนนี้ต่อธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะผู้ให้กู้รายสุดท้าย หากธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าไปดำเนินการเสียเองตั้งแต่ต้น อาจจะถูกกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนบางราย หรือเลือกปฏิบัติได้ จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นในระบบการเงินของประเทศและต่อธนาคารแห่งประเทศไทย

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลต้องมีแนวทางและมาตรการการใช้เงินกู้อย่างโปร่งใส มีประสิทธิผลและตรวจสอบได้ โดยตั้งคณะกรรมการที่ครอบคลุมผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพื่อตรวจสอบแนวทางการใช้เงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ จากนั้นต้องรายงานการใช้เงินให้สภาผู้แทนราษฎรทราบเพื่อการตรวจสอบทุก 3 เดือน รวมถึงการกำหนดแนวทางหรือมาตรการและระยะเวลาที่จะชำระคืนเงินกู้จนครบถ้วน พร้อมขอให้รัฐบาลควรผ่อนคลายมาตรการเพื่อให้ประชาชนได้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติโดยเร็วที่สุด บนพื้นฐานของความปลอดภัยของทุกฝ่ายด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการจัดลำดับความสำคัญให้ผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ประสงค์จะดำเนินกิจการได้รับการตรวจเพื่อให้เป็นผู้ปลอดเชื้อ รวมทั้งมีอุปกรณ์และมาตรการป้องกันผู้มาใช้บริการเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้มีปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกันอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ในระยะแรกของการผ่อนปรน รัฐบาลต้องทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นว่าหากเกิดการเจ็บป่วยด้วยไวรัสดังกล่าว รัฐบาลจะสามารถดูแลรักษาได้ทั่วถึง โดยได้จัดสรรงบประมาณที่จำเป็นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรทางด้านสาธารณสุขอย่างเพียงพอ

“การกู้เงินและใช้จ่ายเงินกู้จำนวน 1.0 ล้านล้านบาทนั้น ถือเป็นการจ่ายเงินแผ่นดิน ซึ่งจะกระทำได้เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการ งบประมาณ หรือกฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง หรือกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 140 พรรคเพื่อไทยจึงขอให้รัฐบาลดำเนินการในเรื่องนี้ให้เป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนชาวไทย” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ไฟไหม้รถยนต์ อดีต สส.ศิริโชค วอดทั้งคัน

สงขลา 5 ก.ค.-“ศิริโชค” อดีต สส.ปชป. เผยเหตุระทึก รถยนต์ PHEV ไฟลุกไหม้วอดทั้งคันกลางดึก ทั้งที่ไม่ได้ชาร์จ ภาพคลิปเหตุการณ์ไฟไหม้รถยนต์ส่วนตัวของนายศิริโชค โสภา อดีต สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งจอดอยู่บริเวณบ้านพักที่ อ.นาทวี จ.สงขลา ช่วงตี 3 เมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา (5 ก.ค.68) โดยเพจเฟซบุ๊ก “ศิริโชค โสภา” ได้โพสต์คลิปเหตุการณ์ พร้อมระบุข้อความว่า “อุทาหรณ์สยอง! ผมตื่นมากับเปลวเพลิงกลางดึก-ไฟลุกท่วมรถ PHEV ทั้งคัน ทั้งที่ไม่ได้ชาร์จ! เช้ามืดวันนี้ ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเสียง “ปะทุ” ดังสนั่นกลางความเงียบของตีสาม…เมื่อรีบวิ่งออกมาดู สิ่งที่ผมเห็นคือเปลวไฟสีส้มแดงกำลังลุกโชนอย่างบ้าคลั่งจากรถยนต์ PHEV ที่จอดนิ่งหน้าบ้าน ตอนนั้นผมไม่ได้เสียบชาร์จไว้ด้วยซ้ำ-จอดไว้เฉยๆ แต่จู่ๆ ไฟกลับลุกขึ้นมาเอง โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าแม้แต่นิดเดียว รถดับเพลิงต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะควบคุมเพลิงได้ และเมื่อไฟดับลง… สิ่งที่เหลืออยู่คือซากรถที่ไหม้เกรียมทั้งคันนี่ไม่ใช่แค่ความเสียหาย แต่คือคำเตือนที่น่ากลัวสำหรับผู้ใช้รถ EV และ PHEVแม้ไม่ได้ชาร์จ แม้จอดนิ่ง แบตเตอรี่ก็ยังมีโอกาสลุกไหม้ได้เองโดยไม่ทันตั้งตัว ไฟฟ้าเงียบ-แต่มันเผาผลาญทุกอย่างได้ในพริบตา ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ […]

ตาขับรถทับศีรษะหลานวัย 1 ขวบ ดับสลด

สุราษฎร์ธานี 5 ก.ค. – สุดสลด ตาขับรถกระบะไม่ทันดู เหยียบศีรษะหลานสาว วัย 1 ขวบ 5 เดือนเสียชีวิตคาที่ ตายายร้องไห้แทบขาดใจ สุดสลด ตาขับรถกระบะไม่ทันดู เหยียบศีรษะหลานสาว วัย 1 ขวบ 5 เดือนเสียชีวิตคาที่ หลังจากที่ตากลับจากซื้อของที่ตลาด เมื่อมาถึงบ้านซึ่งเปิดเป็นร้านขายของชำในอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ขนของลงจากรถเสร็จ ระหว่างจะนำรถไปจอดไม่ทันสังเกตว่าหลานวิ่งอ้อมรถมา รู้อีกทีล้อรถหน้าด้านคนขับเหยียบเข้าที่ศีรษะของหลานแล้ว ทำให้หลานเสียชีวิตทันที เมื่อเห็นร่างหลาน ตาและยายร้องไห้แทบขาดใจ เพราะเลี้ยงหลานคนนี้มาตั้งแต่เล็กๆ ก่อนนำร่างส่งชันสูตรที่โรงพยาบาลพระแสงต่อไป.- สำนักข่าวไทย

อ.อ๊อด ชี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ กรณีรถยนต์ไฟฟ้า อดีตสส.สงขลา ไฟไหม้

นครปฐม 5 ก.ค. – อาจารย์อ๊อด นักวิชาการสาขาเคมีอินทรีย์ แสดงความคิดเห็นว่า กรณีรถยนต์ไฟฟ้าของนายศิริโชค โสภา อดีต สส.สงขลา เกิดไฟไหม้ ถือเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ และแบตเตอรี่อาจจะมีปัญหา จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก Sirichok Sopha หรือ นายศิริโชค โสภา อดีต สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ แชร์ประสบการณ์ โดยระบุข้อความว่า “เช้ามืดวันนี้ ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเสียง “ปะทุ” ดังสนั่นกลางความเงียบของตีสาม…เมื่อรีบวิ่งออกมาดู สิ่งที่ผมเห็นคือเปลวไฟสีส้มแดงกำลังลุกโชนอย่างบ้าคลั่งจากรถยนต์ PHEV ที่จอดนิ่งหน้าบ้าน รถคันนี้ซื้อจากศูนย์หาดใหญ่เมื่อ 2 ปีก่อน ผมใช้งานตามปกติ และที่สำคัญคือ ตอนนั้นผมไม่ได้เสียบชาร์จไว้ด้วยซ้ำ-จอดไว้เฉยๆแต่จู่ๆ ไฟกลับลุกขึ้นมาเอง โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าแม้แต่นิดเดียวรถดับเพลิงต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะควบคุมเพลิงได้ และเมื่อไฟดับลง… สิ่งที่เหลืออยู่คือ ซากรถที่ไหม้เกรียมทั้งคันนี่ไม่ใช่แค่ความเสียหาย แต่คือคำเตือนที่น่ากลัวสำหรับผู้ใช้รถ EV และ PHEVแม้ไม่ได้ชาร์จ แม้จอดนิ่ง แบตเตอรี่ก็ยังมีโอกาสลุกไหม้ได้เองโดยไม่ทันตั้งตัวไฟฟ้าเงียบ-แต่มันเผาผลาญทุกอย่างได้ในพริบตา” รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ อาจารย์อ๊อด นักวิชาการสาขาเคมีอินทรีย์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม […]

สพฐ. จัดทีมนิติกรช่วยครูการเงิน

กทม. 5 ก.ค.-สพฐ. จัดทีมนิติกรช่วยครูการเงิน กรณีถูกชี้มูลร่วมลงชื่อเบิกจ่ายค่าอาหารกลางวัน วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า ตามที่มีรายงานข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ กรณีข้าราชการครูผู้รับผิดชอบงานการเงินของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ได้ร้องขอความเป็นธรรมภายหลังถูกชี้มูลความผิดร่วมกับอดีตผู้อำนวยการโรงเรียน จากการลงนามในเอกสารเบิกจ่ายค่าอาหารกลางวัน โดยยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดนั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต้นสังกัด และยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งลงโทษทางวินัยออกโดยเขตพื้นที่ฯ แต่อย่างใด สำหรับการดำเนินการในขั้นต่อไป สพฐ. ได้จัดเตรียมนิติกรจากส่วนกลาง เพื่อสนับสนุนการให้คำปรึกษาทางกฎหมายและการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ครูสามารถใช้สิทธิในการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ตามมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติ ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 ได้อย่างเต็มที่ เลขาธิการ กพฐ. ระบุว่า กรณีนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ต้องทบทวนบทบาทภาระงานของครูในภารกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน โดยเฉพาะงานด้านการเงินและพัสดุ ซึ่งมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงเชิงกฎหมายสูง สพฐ. จึงอยู่ระหว่างการปรับปรุงระบบสนับสนุนภายในโรงเรียน เพื่อให้โครงสร้างงานสนับสนุนมีความเหมาะสมกับวิชาชีพครูมากยิ่งขึ้น “ข้าราชการครูที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตจะไม่ต้องเผชิญกระบวนการตามลำพัง สพฐ. พร้อมอยู่เคียงข้างและสนับสนุนในทุกขั้นตอน เพื่อให้สามารถใช้สิทธิและเข้าถึงความเป็นธรรมได้อย่างมั่นใจครับ” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว.-416.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

น้ำโขงใกล้แตะ 9 เมตร สทนช.เตือนเฝ้าระวัง

บึงกาฬ 6 ก.ค.- “แม่น้ำโขง” ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ใกล้แตะ 9 เมตร สทนช. เตือนเฝ้าระวังน้ำหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขัง ที่จังหวัดบึงกาฬ เกิดฝนตกติดต่อกันกว่า 2 สัปดาห์ เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเมียนมาตอนบนและ สปป ลาว ตอนบน ประกอบกับ สปป ลาว มีฝนตกลงอย่างต่อเนื่อง และมีมวลน้ำเหนือจากจังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย ไหลลงมาสมทบ ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเช้าวันนี้ จุดวัดระดับน้ำบ้านพันลำ วัดได้ 8.60 เมตร เพิ่มขึ้นจากวานนี้ 30 เซนติเมตร แต่ยังอยู่ในระดับปกติ ส่วนที่ประตูระบายน้ำ ข้างสำนักงาน ตม.บึงกาฬ เจ้าหน้าทีเทศบาลได้เปิดประตูระบายน้ำ เพื่อให้น้ำที่สะสมตามท่อระบายน้ำต่างๆ ในเขตเทศบาลเมืองไหลลงสู่แม่น้ำโขง เช่นเดียวกับบริเวณด่านพรมแดนศุลกากร เรือโดยสารขนส่งสินค้าและเรือขนส่งผู้โดยสารไทย-ลาว ต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินเรือ เนื่องจากน้ำโขงไหลแรงและมีเศษวัชพืช เศษขยะไหลมากับสายน้ำ พร้อมขยับปรับระดับโป๊ะเทียบท่าให้อยู่ในระดับพอดี และผูกเชือกมัดโยงให้แน่นหนาเพื่อความปลอดภัย ขณะที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ สทนช. เฝ้าระวังน้ำหลาก ดินโคลนถล่ม […]

ชวนร่วมมหกรรม “ซอฟต์พาวเวอร์” ฟังวิสัยทัศน์จาก 3 นายกฯ

ทำเนียบรัฐบาล 6 ก.ค.-รัฐบาลเชิญร่วมงานมหกรรม Soft Power ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “SPLASH – Soft Power Forum 2025” ระหว่าง 8-11 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ร่วมรับฟังการแสดงวิสัยทัศน์ 3 นายกรัฐมนตรีไทย แลกเปลี่ยนมุมมองและแบ่งปันประสบการณ์สร้าง “มูลค่าทางวัฒนธรรม” นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลบูรณาการความร่วมมือยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่ตลาดโลกอย่างเป็นรูปธรรม จัดงาน Soft Power ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “SPLASH – Soft Power Forum 2025” ระหว่างวันที่ 8-11 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00-20.00 น. Hall 1-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้ความร่วมมือของกระทรวงวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ คณะกรรมการพัฒนาและอนุกรรมการทุกสาขา โดยประสานพลังภาครัฐ เอกชน ชุมชน […]

เร่งแกะรอยมือยิงตำรวจ สภ.กรงปินัง เสียชีวิตหน้าร้านสะดวกซื้อ

ยะลา 6 ก.ค.- ผกก.สภ.กรงปินัง สั่งเร่งแกะรอยมือยิงตำรวจเสียชีวิตหน้าร้านสะดวกซื้อ ขณะปฏิบัติหน้าที่ตรวจความปลอดภัย เบื้องต้นคาดเป็นกลุ่มคนร้ายที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ เพื่อสร้างสถานการณ์ เมื่อคืนนี้ เวลาประมาณ 19.40 น. ศูนย์วิทยุ สภ.กรงปินัง จ.ยะลา รับแจ้งว่ามีคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวนใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาด ก่อเหตุซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กรงปินัง ขณะออกปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในเขตพื้นที่รับผิดชอบ เหตุเกิดบริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ ใกล้กับบริเวณสามแยกทางเข้าที่ว่าการอำเภอกรงปินัง หมู่ที่ 7 ต.กรงปินัง อ.กรงปินัง จ.ยะลา เบื้องต้นมีตำรวจรวจได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 นาย ทราบชื่อ ส.ต.ท.ธัญเทพ สิกขาจารย์ ผบ.หมู่ (ป) ปฏิบัติหน้า จราจร สภ.กรงปินัง จ.ยะลา ถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดและชนิด บริเวณศีรษะ 1 นัด อาการสาหัส ก่อนเสียชีวิต ขณะนำตัวส่งห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลกรงปินัง จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่าก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำนวน 2 นาย เข้าไปตรวจตราดูแลความสงบเรียบร้อยภายในร้านสะดวกซื้อตามปกติ หลังจากปฏิบัติหน้าที่เสร็จสิ้น เมื่อเดินออกจากร้าน ได้มีคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวนคาดว่าอยู่ตรงข้ามจุดเกิดเหตุได้ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดซุ่มยิง จำนวน 1 […]

กรมอุตุฯ เตือน 4 ภาครับมือฝนถล่ม ระวังน้ำท่วม-น้ำป่าไหลหลาก

กทม. 6 ก.ค.- กรมอุตุฯ เผยประเทศไทยยังมีฝนฟ้าคะนอง เตือน “เหนือ อีสาน ตะวันออก ใต้” รับมือฝนตกหนัก อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก กรมอุตุนิยมวิทยาเผยภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณจังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ทั้งนี้เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเมียนมาตอนบนและลาวตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง พายุโซนร้อน “ดานัส” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้ไต้หวัน ในช่วงวันที่ 6–7 กรกฎาคม 2568 โดยไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย แต่จะทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่ปกคลุมประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย – สำนักข่าวไทย