ภูเก็ต 9 เม.ย.-สาวประเภทสองเจ้าของวลี “แค่เศษเงินหลังตู้เย็น” เข้าให้ปากคำกับตำรวจ พบเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าย่านป่าตอง จ.ภูเก็ต รับโพสต์จริง เพราะกดดันที่เพื่อนแห่ถามว่าได้เงินได้อย่างไร ตำรวจยังไม่แจ้งข้อกล่าวหา
จากกรณีหญิงสาวรายหนึ่งซึ่งใช้เฟซบุ๊กโพสต์ข้อความลงหน้าไทม์ไลน์ส่วนตัว ว่า “5 พันเข้าบัญชีแล้วค่ะ ก็แค่เศษเงินหลังตู้เย็น” จนทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ถึงการได้รับเงินดังกล่าว และในโพสต์ข้อความต่อมา ยังระบุโดยสรุปว่า เรื่องนี้ไม่ได้เสียดสีประชาชน แต่ต้องการประชดรัฐบาลที่เธอเชื่อว่ามีเงินภาษีจำนวนมาก เพราะตัวเธอเองถูกล็อกดาวน์ออกนอกพื้นที่ไม่ได้ มีค่าใช้จ่ายทั้งค่าที่พักและค่าเช่าร้าน ซึ่งเงินจำนวนนี้ไม่พอ
ตรวจสอบทราบว่า เจ้าของโพสต์ดังกล่าวอาศัยอยู่ในจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่สืบสวนภูธรจังหวัดภูเก็ตร่วมกับชุดสืบสวน สภ.ป่าตอง ลงพื้นที่ติดตามแต่ไม่พบตัว ก่อนที่ในวันนี้ (9 เม.ย) ผู้โพสต์จะเดินทางมาพบเจ้าหน้าที่ สภ.ป่าตอง เพื่อให้ปากคำ เบื้องต้นทราบชื่อผู้โพสต์รายดังกล่าว คือ นายกชพร แสงจันทร์ อายุ 26 ปี เป็นสาวประเภทสอง บ้านอยู่ตำบลหนองผือ อำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด แต่มาทำธุรกิจร้านขายเสื้อผ้าในจังหวัดภูเก็ต
สอบถามนายกชพร ให้การว่าอาศัยอยู่ที่ภูเก็ตเป็นเวลา 2 ปีเศษ ก่อนหน้าเป็นพนักงานเสิร์ฟอยู่ที่บาร์แห่งหนึ่งในซอยบางลา เพิ่งเปิดร้านเสื้อผ้าได้ประมาณ 3 เดือน ยอมรับว่าได้รับเงินจำนวน 5,000 บาท จากโครงการฯ จริง และยอมรับมีการโพสต์ตามที่ปรากฏ โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากตนเองและเพื่อนๆ ได้ลงทะเบียนเข้าโครงการ แต่จากการสอบถามปรากฏว่ามีตนเองได้เงินเพียงคนเดียว ส่วนเพื่อนๆ ไม่ได้เงิน จึงมีการมาสอบถามว่าลงอย่างไรถึงได้ ทั้งที่เป็นเจ้าของกิจการ ทำให้งรู้สึกถูกกดดัน จึงโพสต์ข้อความดังกล่าวไปโดยไม่ยั้งคิดก่อนเข้านอน ปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้น เกิดประเด็นดังกล่าวขึ้นมา
ทั้งนี้ ยืนยันถึงแม้ตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจแต่ก็ได้รับผลกระทบจากการหยุดกิจการ โดยมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งค่าเช่าร้านเดือนละ 20,000 บาท ไม่รวมค่าน้ำค่าไฟ ค่าเช่าบ้านเดือนละ 7,000 บาท ค่างวดรถกว่า 12,000 บาท ค่ากินของน้องๆ และเด็กอ่อนอีก 1 คน วันละ 1,500 บาท เป็นต้น และตนเองไม่มีประกันสังคม เนื่องจากเป็นเจ้าของกิจการ
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้บันทึกถ้อยคำไว้เป็นหลักฐาน โดยยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา เพราะอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเข้าข่ายความผิดใด รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นกระทรวงการคลังว่าจะดำเนินคดีหรือไม่.-สำนักข่าวไทย