ทำเนียบรัฐบาล 7 เม.ย. – ครม.อนุมัติขยายสินเชื่อโครงการชะลอการขายข้าวเปลือก ปีการผลิต 62/63 เพิ่ม 5 พันล้านบาท รองรับเกษตรกรร่วมโครงการเกินเป้า
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สืบเนื่องจาก คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการชะลอการขายข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 เพื่อดูดซับปริมาณข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท โดยกำหนดเป้าหมาย 1 ล้านตันข้าวเปลือก ระยะเวลาการทำสัญญาเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 – 29 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งมีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นผู้ออกสินเชื่อ จากผลการดำเนินโครงการ ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 มีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ขอสินเชื่อรวม 15,000 ล้านบาท และมีปริมาณข้าวเปลือกรวม 1.45 ล้านตัน ซึ่งเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ประกอบกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิและข้าวเปลือกเหนียวในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือยังเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางและมีความประสงค์ขอรับสินเชื่อตามโครงการฯ เนื่องจากขณะนี้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ ยังอยู่ในภาวะชะลอตัวและราคาข้าวเปลือกเหนียวยังคงมีความผันผวน ทางคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) จึงมีมติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 อนุมัติการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพิ่มเติม ตามที่ ธ.ก.ส. เสนอ เพื่อเป็นการชะลอการขายข้าวเปลือกและรักษาระดับราคาข้าวเปลือกให้มีเสถียรภาพ
โดยในวันนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ให้ปรับเพิ่มเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือก เพิ่มวงเงินสินเชื่อ และขยายระยะเวลาการทำสัญญาเงินกู้ ตามโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพิ่มเติม โดยรับทราบ 1)เพิ่มเป้าหมายปริมาณการชะลอขายข้าวเปลือกเป็น 1.5 ล้านตัน จากเดิม 1 ล้านตัน 2)ปรับเพิ่มวงเงินสินเชื่อโครงการเป็น 15,000 ล้านบาท จากเดิม 10,000 ล้านบาท และ 3)ขยายระยะเวลาการทำสัญญาให้สิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2563 สำหรับภาคใต้ขยายถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 จากเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563
และเห็นชอบให้จัดสรรวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกปีการผลิต 2562/63 วงเงินรวมทั้งสิ้น 682.86 ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ขอจัดสรรวงเงินงบประมาณประจำปี 2564 และปีถัดๆ ไป ซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้ชำระเงินชดเชยดอกเบี้ย ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำประเภท 12 เดือน ของ ธ.ก.ส. บวก 1 ต่อปี และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงกรณีที่มีการระบายข้าว ได้แก่ค่าขนย้ายข้าวเปลือก ต้นทุนเงินค่าขนย้ายข้าวเปลือก และส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าว
อีกทั้งยังเห็นชอบให้จัดสรรค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกโครงการฯ (เพิ่มเติม) วงเงินรวม 750 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการปรับเพิ่มเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือกโครงการเป็น 1.5 ล้านตัน เพื่อจ่ายเป็นค่าฝากเก็บรักษาคุณภาพข้าวเปลือกที่เก็บไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกร ตันละ 1,500 บาท และสถาบันเกษตรกรที่รับฝากไว้ ตันละ 1,500 บาท แบ่งออกเป็นสถาบันเกษตรกรได้รับตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ฝากข้าวได้รับตันละ 500 บาท ซึ่งต้องเก็บข้าวไว้อย่างน้อย 1 เดือน ระยะเวลาไถ่ถอน 5 เดือน โดยมอบหมายให้ ธ.ก.ส. ขอจัดสรรงบประมาณจากคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) และนำเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ นางสาวรัชดา ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกันทำงานศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายโอกาสส่งออกข้าวไทยไปยังต่างประเทศ เนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก อาจทำให้ความสามารถการผลิตของแต่ละประเทศลดลงและมีความจำเป็นต้องนำเข้าข้าวเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ต้องไม่กระทบความต้องการในประเทศ . – สำนักข่าวไทย