ศบค.แถลงพบผู้ป่วยใหม่ 120 คน ผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 1,771 คน

ทำเนียบฯ 1 เม.ย.- ศบค. แถลงสถานการณ์โควิด-19 พบผู้ป่วยใหม่ 120 ราย ผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 1,771 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย ย้ำ อยู่บ้านต้องเว้นระยะห่าง ไม่เสี่ยงไม่ต้องตรวจ อุปกรณ์มีอย่างจำกัด ตำรวจชี้ ยังมีกลุ่มคนฝ่าฝืนมั่วสุม ย้ำใช้กฏหมายเด็ดขาด คาดนักเรียนแลกเปลี่ยนในโครงการ AFS ทั้งหมดจะสามารถกลับไทยได้ครบเดือนเมษายนนี้ ยัน กต.ประสานงานดูแลนักเรียนใกล้ชิด


นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงว่า วันนี้ (1 เม.ย.) ไทยมีรายงานผู้ป่วยใหม่ 120 ราย รวมผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 1,771 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย รวม 12 คน โดยผู้เสียชีวิตล่าสุด รายที่ 11  เป็นชายไทย อายุ 79 ปี อยู่ในพื้นที่3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีโรคประจำตัวคือเบาหวานและไตวายเรื้อรัง และได้เดินทางไปร่วมงานแต่งงานที่ประเทศมาเลเซียป่วยตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคมและเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลของรัฐใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยอาการไข้สูง ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ และปอดอักเสบ

จากนั้นได้ส่งตัวมารักษายังโรงพยาบาลประจำจังหวัดและเสียชีวิตในวันที่ 30 มีนาคมเวลา 08.00 น.  รายที่ 12  อายุ 58 ปี เป็นนักธุรกิจเดินทางกลับจากประเทศอังกฤษถึงไทยวันที่ 14 มีนาคม และเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนเสียชีวิตในวันที่ 31 มีนาคมเวลา 09.00 น. โดยจะต้องตรวจสอบหาสาเหตุอย่างละเอียดอีกครั้ง จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ พบว่า มาจากกรุงเทพมหานคร 43 คน สมุทรปราการ 23 คน ภูเก็ต 11 คน ที่เหลือมาจากจังหวัด กระบี่ นนทบุรี ปทุมธานี บุรีรัมย์ สงขลา และชลบุรี


นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวว่า จังหวัดที่พบผู้ป่วยรายใหม่ในช่วงวันที่ 25 ถึง 31 มีนาคม ก่อนหน้านี้สองสัปดาห์ไม่พบผู้ป่วยเลย คือจังหวัดชุมพร นครพนมพิษณุโลก หนองคาย อำนาจเจริญ มุกดาหารและลำพูน พบว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร สำหรับอันดับตัวเลขผู้ป่วยสะสมในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด จำแนกเป็น กรุงเทพมหานคร มากที่สุด 850 คน นนทบุรี 104 คน สมุทรปราการ 72 คน ภูเก็ต 71 คน ชลบุรี 47 คน ยะลา 35 คน ปัตตานี 34 คน ทั้งนี้การรณรงค์ให้ทุกคนอยู่บ้านเพื่อลดการติดเชื้อนั้น พบว่าการไม่เพิ่มระยะห่างระหว่างบุคคลของคนในบ้าน ก็จะไม่ทำให้ตัวเลขของผู้ติดเชื้อลดลง ดังนั้นต้องตะหนักว่า คนในบ้านต้องมีระยะห่าง 

นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ขอบคุณหลายภาคส่วนที่ร่วมกันทำงาน ทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชน โดยเฉพาะการพยายามประยุกต์ใช้สิ่งของต่าง ๆ ที่มี มาทำเป็นอุปกรณ์ในการป้องกันโควิด-19

ด้านพล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ในสถานการณ์ที่คนไทยทุกคนต้องร่วมมือกัน แต่จากการปฏิบัติในช่วง 4-5 วันที่ผ่านมา พบว่า มีประชาชนฝ่าฝืนข้อกฎหมายทั้งที่บุคลากรทุกคนทำงานอย่างหนัก หลายกรณีมีการขอความร่วมมือ แต่ก็ยังมีการฝ่าฝืน เช่น การไปมั่วสุม หรือตั้งวงเอาสนุกสนาน ลักษณะเช่นนี้ ถือว่า กระทำกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบททั้งผิด พ.ร.บ.โรคติดต่อ และผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเมื่อวานนี้ (31 มี.ค.) ก็ยังพบมิจฉาชีพร่วมกับต่างชาติกักตุนแอลกกฮอล์จำนวนมาก ถือเป็นความผิดรุนแรง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจึงสั่งการไปยังพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีโดยเด็ดขาด ซึ่งการกระทำเช่นนี้ มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ


โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังพบการกระทำเล็ก ๆ น้อยแต่ส่งผลกระทบที่ทำให้ตื่นตระหนัก ก็จะได้รับโทษเช่นเดียวกัน รวมถึง ยังพบการเล่นพนันที่มีความผิด ตาม พ.ร.บ.การพนัน และผิด พ.ร.บ.โรคติดต่อด้วย ดังนั้น จึงขอประชาชนอย่าฝ่าฝืน เพราะจะดำเนินการเอาผิดอย่างหนัก และให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับคนที่ซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน 

ต่อข้อถามว่า มีหลายจังหวัดประกาศมาตรการห้ามออกนอกเคหะสถานในบางเวลา และหากพักอาศัยอยู่ในปริมณฑล จะยังสามารถข้ามจังหวัดมาทำงานได้ตามปกติหรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า บุคคลที่พักอาศัยอยู่ในปริมณฑลยังขับรถมาทำงานใน กทม. ได้ตามปกติ เพราะส่วนตัวคิดว่าไม่มีบริษัทใดที่เปิดงานตั้งแต่ก่อน 05.00 น. ซึ่งเป็นเวลาห้ามออกนอกเคหะสถาน แต่หากเป็นการทำงานที่มีความจำเป็นอย่างต้องขนส่งยาและเวชภัณฑ์ก็สามารถออกมาได้ 

นายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า สำหรับเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนในโครงการ AFS ที่จะเดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกา ผู้ปกครองมีความกังวลต่อการเดินทางกลับนั้น เจ้าหน้าที่ในโครงการแลกเปลี่ยน AFS และกระทรวงการต่างประเทศ ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิด ปัจจุบันมีนักเรียนแลกเปลี่ยนจากต่างประเทศได้ทยอยเดินทางกลับมาบ้างแล้ว และโครงการใหม่ก็ยกเลิกไปแล้ว แต่ขณะนี้นักเรียนแลกเปลี่ยน AFS กลุ่มใหญ่ยังอยู่ที่สหรัฐฯ

อธิบดีกรมสารนิเทศ กล่าวว่า กระทรวงต่างประเทศได้ประสานเรื่องนำนักเรียนกลับมาแล้ว แต่เข้าใจดีว่าผู้ปกครองกังวล ขอยืนยันว่าตอนนี้เครื่องบินพาณิชย์สหรัฐยังเดินทางเข้าไทยได้อยู่ โดยAFS มูลนิธิ ที่ดูแลจะดำเนินการและกต.ก็ดูแลนักเรียนเหล่านี้อย่างใกล้ชิด รวมทั้งมีการให้หลักประกันสุขภาพ คาดว่าทั้งหมดจะสามารถกลับมาได้ครบในเดือนเมษายนนี้ ทุกคนจะต้องมีเอกสารรับรองจากสถานทูตและใบรับรองแพทย์ที่จะสามารถขึ้นเครื่องกลับมาได้ และเมื่อมาถึงประเทศไทยต้องเข้าสู่กระบวนการคัดกรองของทางการไทย ตอนนี้กระทรวงสาธารณสุขได้มีมาตรการตรวจคัดกรองอย่างเข้มข้น และอาจมีการดำเนินการตรวจคัดกรองแบบกลุ่มที่รัดกุมมากขึ้นสำหรับการดูแลนักศึกษาที่จะกลับจากอิตาลี จะมีการดูแลอย่างใกล้ชิดจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและกระทรวงการต่างประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามถึงตัวเลขการติดเชื้อที่แท้จริงมีมากกว่าที่แจ้งข้อมูลไปหรือไม่ จากกรณีที่พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น แต่ตัวเลขเฉลี่ยยังอยู่ประมาณ 100 คน นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวว่า ตัวเลขที่แถลงคือตัวเลขที่แท้จริง แต่ยอมรับว่าในช่วงแรกอาจมีติดขัดบ้าง เนื่องจากบุคลากรและเครื่องมือทางการแพทย์ ที่ใช้ตรวจโรคอาจยังไม่พร้อมหรือมีเพียงพอ  และไม่ทันกับสถานการณ์ แต่ขณะนี้ยืนยันว่า แพทย์มีความเชี่ยวชาญด้านการใช้เครื่องมือ และสามารถตรวจได้ถึงวันละ 10,000 เคส  อีกทั้งยังต้องเสียสรรพกำลัง และอุปกรณ์การตรวจหาเขื้อไปกับบุคคลที่วิตกกังวลและเข้ามาตรวจ แต่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงและไม่พบเชื้อจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อทรัพยากรมีจำกัดก็ขอให้ผู้ที่ยังไม่มีความเสี่ยงอย่าเพิ่งมาโรงพยาบาลอยากให้คนที่มีความเสี่ยงใกล้ชิดกับคนที่ติดโควิด-19มากกว่า

เมื่อถามว่าการกักตัวอยู่บ้านมีความเสี่ยงมากแค่ไหน นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวว่า การที่มีคนอยู่ในบ้านมากกว่า 1 คนก็มีความเสี่ยง จึงขอให้ดูแลตัวเองให้ดี คือใช้หลักการกินร้อนช้อนกลางล้างมือ ห่างกัน 1-2 เมตร สามารถทำได้มากกว่า 14 วัน เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อยังพุ่งสูงอยู่ จึงขอความร่วมมือทุกคนดูแลตัวเองเพื่อให้ลดการแพร่เชื้อและทำทุกอย่างให้ปลอดเชื้อด้วย.-สำนักข่าวไทย       

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดแชต “สีกากอล์ฟ” หลอกยืมเงิน “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร” 4 แสน

18 ก.ค. – เปิดแชต “สีกากอล์ฟ” หลอกยืมเงิน “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร” 400,000 บาท อ้างป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัด และแลกหลักฐานกรณีอดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร มีความสัมพันธ์กับสีกากอล์ฟ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จ.พิจิตร หลงกลเล่ห์เหลี่ยมของสีกากอล์ฟ โดยเมื่อปี 2559 อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร ส่งข้อความไปหาสีกากอล์ฟ ว่ามีเรื่องสำคัญของบ้านเมืองจะปรึกษา และหว่านล้อมว่าสีกากอล์ฟเป็นบุคคลสำคัญยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองส่วนหนึ่งใน จ.พิจิตร ไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากให้ความร่วมมือจะมีผู้ใหญ่ใจดีที่พร้อมจะดูแลสีกากอล์ฟและลูก แล้วทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ติดต่อกลับ จากนั้นสีกากอล์ฟตอบกลับข้อความ ทำให้อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร เปิดเผยเป้าหมายทันทีว่าต้องการดำเนินการกับพระราชสิทธิเวที ในขณะนั้น (อดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร และอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าหลวง จ.พิจิตร ที่เพิ่งสึกไป) ซึ่งมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริต เสพเมถุน และประพฤติตนไม่เหมาะสม อาจเชื่อมโยงมาถึงสีกากอล์ฟ พร้อมเสนอเงิน 1 ล้านบาท แต่สีกากอล์ฟชวนอดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร คุยเรื่องทั่วไป โดยเฉพาะอ้างว่ามีอาการป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัดประมาณ 400,000 บาท […]

“ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ

17 ก.ค. – “ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอกพรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติง “ลูกอิ๊งค์” ขายชาติ บอกปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล “คึกฤทธิ์” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก พลิกเกมเศรษฐกิจไทย” และ “พลิกเกมเศรษฐกิจไทย สู่อนาคต” จัดโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม พร้อมครม. อาทิ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ […]

แม่ทัพภาค 2 เยี่ยมให้กำลังใจทหารบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด

อุบลราชธานี 17 ก.ค.-แม่ทัพภาค 2 เยี่ยมให้กำลังใจทหารได้รับบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด ซึ่งอาการโดยรวมดีขึ้น ที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ มณฑลทหารบกที่ 22 อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจกับทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ที่ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดทั้ง 3 นาย ซึ่งมีอาการโดยรวมดีขึ้น สำหรับทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 3 นายประกอบด้วย ส.อ.ปฏิพัทธ์ ศรีลาศักดิ์ มีบาดแผลฟกซ้ำบริเวณหน้าอกจากการถูกแรงอัดระเบิด ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้า แต่ปัจจุบันดีขึ้น พลทหารณัฐวุฒิ ศรีเข้ม มีบาดแผลฟกซ้ำที่หน้าอกจากการอัดของระเบิด แน่นหน้าอก แต่ช่วยเหลือตัวเองได้ พลทหารธนพัฒน์ หุยวัน ต้องตัดขาซ้ายใต้เข่าจากแรงระเบิด มีอาการปวดแผล แต่กินอาหารได้ตามปกติ หลังเยี่ยมพูดคุยให้กำลังใจ แม่ทัพก็เดินทางกลับไป เพื่อไปติดตามสถานการณ์ชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์ต่อไป.-711.-สำนักข่าวไทย

จนท. เข้าพบพระพรหมบัณฑิต ขอตรวจสอบบัญชีเงินวัดประยูรฯ

กทม. 17 ก.ค. – ตำรวจ ปปป. ป.ป.ท. และเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ บุกวัดประยุรวงศาวาส เข้าตรวจสอบบัญชีเงินวัด เบื้องต้น  ยืนยันไม่ใช่การบุกค้นกุฏิ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาส พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา รักษาราชการแทนรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.), พ.ต.อ.สถาปนา จุณณวัตต์ ผู้กำกับการกองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธแห่งชาติแห่งชาติ เดินทางเข้าพบพระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เพื่อพูดคุยและขอข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารการเงินภายในวัด หลังอดีตเจ้าคุณประสิทธิ์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส เข้าไปพัวพันกับสีกากอล์ฟ และตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคำให้การของพยาน ที่พบเงินถูกพับในลักษณะถูกนำออกมาจากตู้บริจาคในบ้านของสีกากอล์ฟ ซึ่งการตรวจสอบในวันนี้จะเน้นเรื่องเส้นทางการเงินของวัดทั้งหมด ที่ต้องสงสัยว่าอาจมีบางส่วนถูกยักยอก หลังการตรวจสอบ ผู้กำกับการ 6 บก.ปปป. กล่าวว่า ไม่สามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลได้ ผู้บังคับบัญชาจะเป็นผู้ชี้แจง หลังจากนี้จะนำข้อมูลต่างๆ กลับไปเรียนให้ผู้บังคับบัญชาได้ทราบ แต่ยืนยันว่า วันนี้เป็นเพียงแค่การเข้ามาขอข้อมูลเท่านั้น ด้านเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติระบุว่า เป็นเพียงการบูรณาการของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง และในการตรวจสอบเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารแต่อย่างใด มีรายงานเพิ่มเติมว่าเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 หน่วยงาน ได้นำกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปตรวจสอบที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย หรือ […]

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยืนยัน ทุ่นระเบิดเป็นของใหม่ เตรียมยื่นเรื่องไปที่ “ยูเอ็น”

19 ก.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันผลตรวจสอบทุ่นระเบิดบริเวณเนิน 481 เป็นของใหม่ พบในเขตประเทศไทย คาดยังมีอีกกว่าร้อยลูกในพื้นที่ วันนี้ ที่กองบัญชาการกองกำลังสุรนารี เมื่อเวลา 15.30 น. พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 นำแถลงผลการตรวจสอบทุ่นระเบิด บริเวณเนิน 481 จ.อุบลราชธานี โดย พันเอกสมโชค จันทาสี ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 3 ระบุว่า ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบจำนวน 7 นาย โดยจุดแรกที่เจอได้มีการวางจำนวน 3 ทุ่น ลักษณะการวางผิวดิน รัศมีห่างกัน 40 เซนซิเมตร มีใบไม้ปกคลุม ส่วนจุดที่ 2 เจอจำนวน 5 ทุ่น รัศมีการวางกระจัดกระจาย รวมที่พบทั้งหมดจำนวน 8 ลูก ซึ่งจากการกู้ระเบิดทั้ง 8 ลูก ทุ่นระเบิดมีความใหม่ ตัวอักษรชัดเจน เพราะถ้าเป็นของเก่าจะมีวัชพืชปกคลุม […]

“ทักษิณ” ลั่นไม่มีอีกแล้ว ใช้สัมพันธ์ส่วนตัวคุย “ฮุนเซน”

วัดบ้านไร่ 19 ก.ค.-“ทักษิณ” ลั่นไม่มีอีกแล้ว ใช้สัมพันธ์ส่วนตัวคุย “ฮุนเซน” หวั่นโดนอัดเทปซ้ำรอย ชี้หากพิสูจน์ได้ทหารพรานเหยียบทุ่นระเบิดใหม่ต้องประท้วงตามกติกา ซัดหากเล่นนอกบทต้องดำเนินการ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ทหารพรานถูกเหยียบทุ่นระเบิด ที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ที่มีกระแสข่าวว่ากว่า 80% จากการตรวจสอบเป็นระเบิดใหม่ว่า ทั้งสองฝ่ายต้องพูดคุยกัน ถ้าไม่คุยกันอยู่อย่างนี้ไม่เป็นผลดี และขณะนี้อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ว่าเป็นระเบิดใหม่หรือเก่า ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า แต่ล่าสุดกระแสข่าวจากภาคสองยืนยันว่ากว่า 80% เป็นระเบิดใหม่ นายทักษิณ กล่าวว่าก็ต้องว่ากันไป ก็ต้องประท้วงตามกติกา และประท้วงเสร็จก็ต้องมาคุยกันทั้งสองฝ่าย ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า ฝั่งกัมพูชามักเล่นนอกเกมบ่อยๆ เราต้องรับมืออย่างไร นายทักษิณ ระบุว่าก็ว่ากันไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น ถ้าเขาทำอะไรที่นอกกติกา เราก็ต้องดำเนินการ เมื่อถามว่าถ้าพิสูจน์ได้แล้วเป็นเรื่องจริง จะร้ององค์กรโลกหรือไม่ เนื่องจากมีสนธิสัญญาออตตาวา ว่าด้วยเรื่องทุ่นระเบิด นายทักษิณ ระบุว่าที่จริงแล้ว เรามีสนธิสัญญาหลายฉบับ แต่ไม่ได้หยิบขึ้นมาใช้ เมื่อถามย้ำว่าหลังจากนี้จะไม่เจรจาโดยใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวแล้วใช่หรือไม่ นายทักษิณ ยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นว่าไม่มีอีกแล้ว เพราะกลัวโดนอัดเทปเหมือนกัน.-313.-สำนักข่าวไทย

ศบ.ทก. เรียกถกด่วนพรุ่งนี้ นำหลักฐานฟ้องยูเอ็น

กทม. 19 ก.ค.-ศบ.ทก.เรียกถกด่วน 20 ก.ค. หารือ กต. นำหลักฐานฟ้องยูเอ็น กัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวา พร้อมส่งทหารช่าง ปูพรมเก็บกู้วัตถุระเบิดช่องบก พื้นที่อธิปไตยไทย 19 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เตรียมนัด ศบ.ทก.ประชุมในวันที่ 20 ก.ค.นี้ เวลา14.00 น. กำหนดแนวทางการดำเนินการ กรณีกำลังพลจากหน่วยร้อย ร.6021 ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนรักษาความสงบในพื้นที่ช่องบกและประสบเหตุเหยียบกับระเบิด ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ซึ่งจากหลักฐานพลว่าเป็นการวางกับระเบิดใหม่นั้น เบื้องต้น พล.อ.ณัฐพล ได้สั่งการกองทัพภาคที่2 เก็บข้อมูลหลักฐานทั้งหมด พร้อมให้แถลงข่าว และรายงานผลเป็นลายลักษณ์อักษรมาให้ทราบ เนื่องจากต้องเก็บทุกอย่างเป็นหลักฐาน เพื่อส่งให้กระทรวงการต่างประเทศต่อไป โดยในวันพรุ่งนี้ (20 ก.ค.) จะมีกระทรวงการต่างประเทศเข้ามาร่วมประชุม ศบ.ทก.ด้วย เพื่อมาให้คำแนะนำว่าขั้นตอนต่อไปในการดำเนินการ ควรจะทำอย่างไร ร่วมถึงตรวจสอบข้อมูลหลักฐานของแต่ละฝ่ายว่าตรงกันหรือไม่ เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะแถลงเป็นทางการ ในการประชุม ศบ.ทก. 21 ก.ค.นี้ […]

สำนักพุทธฯ สั่งเข้มทุกวัด เร่งจัดการบัญชีรายรับ-รายจ่าย ยึดตามมติ มส.

19 ก.ค.-สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกหนังสือเวียน กำชับไปยังทุกวัดทั่วประเทศ เร่งจัดการบัญชีรายรับ-รายจ่าย ยึดตามมติ มส. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกหนังสือเวียน กำชับไปยังทุกวัดทั่วประเทศ ให้เร่งดำเนินการจัดทำบัญชีเงินฝาก รายรับ-รายจ่าย และงบดุลของวัด ให้ถูกต้องและเป็นระบบ ตามมติมหาเถรสมาคม ที่มีผลบังคับใช้แล้ว โดยการเปิดบัญชีและการเบิกถอนเงินฝากธนาคารของวัด จะต้องเปิดกับธนาคารที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในเขตจังหวัดเดียวกับวัด และระบุชื่อบัญชีเงินฝากเป็นชื่อวัดเท่านั้น โดยมีรายชื่อผู้มีอำนาจถอนเงินอย่างน้อย 3 คน ซึ่งในการถอนเงินต้องมีผู้ลงนามจำนวน 2 ใน 3 และมีเจ้าอาวาสลงนามด้วยทุกครั้ง โดยใช้ใบถอนเงินของธนาคารและสมุดบัญชีเท่านั้น ในส่วนของบัญชีรายรับ-รายจ่าย ให้รายงานบัญชีของวัดทุกบัญชี สรุปเป็นรายเดือน จำนวน 12 เดือน ส่งสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ภายในวันที่ 20 มกราคมของปีถัดไป โดยสำเนาเอกสารไว้ที่วัดด้วยทุกฉบับ นอกจากนี้ทุกวัดควรพิจารณาใช้ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ร่วมด้วย เพื่อแสดงข้อมูลบริจาคที่ครบถ้วน และให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ ติดตามอย่างเคร่งครัด โดยสำนักพระพุทธศาสนาฯ จะกำกับดูแล หรือประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบบัญชี และรายงานการตรวจสอบให้มหาเถรสมาคมทราบ.-สำนักข่าวไทย