กรุงเทพฯ 20 มี.ค.- ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีปลอมเอกสารโอนหุ้น “เสี่ยชูวงษ์” จำคุก “บรรยิน” 8 ปี “น้ำตาล” พริตตี้คนสนิท-“ป้อนข้าว” โบรกเกอร์สาว คนละ 4 ปี ส่วนแม่ ไม่พบความผิด ยกฟ้อง
ศาลอาญากรุงเทพใต้อ่านคำพิพากษาคดีโอนหุ้นเสียชูวงษ์ แซ่ตั๊ง มูลค่า กว่า 263 ล้านบาท ที่มี นางสาวกัญฐนา ศิวาธนพล หรือน้ำตาล อดีตพริตตี้ จำเลยที่ 1 นางสาววัชรียา วัชรประยงค์วุฒิ หรือน้ำมนต์ (เดิมคือ น.ส.อุรชา หรือป้อนข้าว วชิรกุลฑล จำเลยที่ 2 พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำเลยที่ 3 และ และนางศรีธรา พรหมา มารดาของนางสาวอุรชา ที่ได้รับโอนหุ้นจากนางสาวอุรชา จำเลยที่ 4 ในความผิดฐาน ปลอมเอกสารสิทธิ์และใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม
โดยในวันนี้ นางสาวกัญฐนา (น้ำตาล) นางสาววัชรียา (ป้อนข้าว) และ นางศรีธรา พรหมา มารดาของนางสาวอุรชา เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง ส่วนพันตำรวจโทบรรยินไม่ได้ถูกเบิกตัวมา แต่ศาลใช้วิธีการอ่านคำพิพากษาผ่านวีดีโอคอนเฟอเร้นจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เพื่อลดโอกาสการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19
ศาลพิเคราะห์จากพยานหลักฐานของโจทก์แล้วพบว่ามีการลบและแก้ไขข้อความในเอกสารหลักทรัพย์เพื่อใช้ในการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ เพื่อโอนหุ้นเข้าบัญชีของ นางสาวกัญฐนา (น้ำตาล) มูลค่า 228 ล้านบาท และ เข้าบัญชีมารดาของนางสาววัชรียา(ป้อนข้าว) มูลค่ากว่า 35 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบพิรุธอีกหลายจุดตั้งแต่ที่พันตำรวจโทบรรยิน ยื่นขอเพิ่มหมายเลขโทรศัพท์สำหรับการทำธุรกรรมตลาดหลักทรัพย์ของนายชูวงษ์ โดยใช้หมายเลขโทรศัพท์ของตนเองและเจ้าหน้าที่ไม่มีการโทรยืนยันกับนายชูวงษ์ที่หมายเลขโทรศัพท์เดิม ซึ่งผิดระเบียบตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและคลิปเสียงที่อ้างว่าเป็นนายชูวงษ์ยืนยันการโอนหุ้นก็ไม่ใช่เสียงของนายชูวงษ์แต่พยานหลายคนยืนยันว่าคล้ายเสียงของพันตำรวจโทบรรยิน
จากกล้องวงจรปิดจากหลายสถานที่ รวมถึง บันทึกการใช้โทรศัพท์ประวัดการเดินทางเข้าออกนอกประเทศและการตรวจดีเอ็นเอบุตรของ นางสาววัชรียา(ป้อนข้าว) ทำให้เชื่อได้ว่าพันตำรวจโทบรรยินมีความสัมพันธ์ทางชูสาวกับ นางสาวกัญฐนา (น้ำตาล) และ นางสาววัชรียา(ป้อนข้าว) แต่กลับไม่พบหลักฐานความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างนายชูวงษ์กับหญิงสาวทั้ง 2 คน ดังนั้นจากพยานหลักฐานจึงเชื่อได้ว่าพันตำรวจโทบรรยินและหญิงสาวทั้ง 2 คนมีความสนิทสนมกันและร่วมกันวางแผน โดยอาศัยความใกล้ชิดสนิทสนมกับนายชูวงษ์เพื่อยักย้ายทรัพย์สินของนายชูวงษ์ ไปซื้อบ้าน รถ และ เลี้ยงดู หญิงสาวทั้ง 2 คน เพิ่อให้ความมั่นคงต่อทั้งคู่
ดังนั้นรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้ง 3 คน ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ์และใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม ศาลพิพาษาจำเลยที่ 1 และ 2 คนละ 4 ปี ส่วนพันตำรวจโทบรรยิน จำเลยที่ 3 จำคุก 8 ปี ขณะที่ มารดาของนางสาวอุรชา ศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานพอยืนยันว่ามีส่วนรู้เห็นกับการปลอมหรือใช้เอกสารของนายชูวงษ์ เพื่อโอนหุ้นแต่ยอมเปิดบัญชีรับหุ้มตามที่ลูกสาวอ้างว่าแฟนหนุ่มต้องการโอนหุ้นให้ แต่ลูกสาวเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดทำให้ไม่สามารถรับโอนหุ้นได้โดยตรง มาดารย่อมให้การช่วยเหลือบุตรสาวตามคำขอเป็นเรื่องปกติ ส่วนทรัพย์สินของกลางในคดีศาลสั่งให้ริบทรัพย์ทั้งหมด
ภายหลังการพิพากษานางวันเพ็ญ แซ่ตั๊ง พี่สาวของชูวงษ์ กล่าวขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรมกับครอบครัว หลังจากต่อสู้คดีมานาน 4 ปี 9 เดือน และวันนี้ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้ง 3 คน ตามพยานหลักฐานที่ปรากฎชัดเจนว่าทั้งหมดได้ร่วมกันกระทำความผิดจริง นอกจากนี้คำพิพากษาของศาลยังสร้างความเป็นธรรมให้กับนายชูวงษ์ ที่เสียชีวิต กรณีถูกพันตำรวจโทบรรยิน ใส่ความมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนางสาววัชรียา (ป้อนข้าว) และนางสาวกัญฐณา (น้ำตาล) ว่าไม่เป็นความจริงด้วย ส่วนหลังจากนี้ หากฝ่ายจำเลยจะยื่นอุทธรณ์คดี ทางครอบครัวของนายชูวงษ์ ก็มั่นใจในพยานหลักฐาน รวมทั้งยังมีทีมทนายหลายทีมที่จะต่อสู้คดี
สำหรับคดีโอนหุ้น 300 ล้านของนายชูวงษ์ ที่ต่อสู้มานานกว่า 4 ปี นางวันเพ็ญ ยอมรับว่า ส่วนตัวรู้สึกว่าค่อนข้างยืดเยื้อ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่อดีตอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ สั่งฟ้องคดี จนทำให้ทางครอบครัวต้องยื่นฟ้องศาลด้วยตัวเอง ซึ่งอยากให้มีการตรวจสอบย้อนหลังการทำงานของอดีตอธิบดีอัยการฯ ดังกล่าว ว่าพิจารณาสำนวนคดีอย่างเป็นธรรมหรือไม่ เพราะส่วนตัวมองว่าหากสั่งฟ้องคดีตั้งแต่ครั้งแรกก็จะทำให้คดีสิ้นสุดภายใน 2 ปี
ทั้งนี้ นางวันเพ็ญ ระบุด้วยว่า ผลคำพิพากษาในวันนี้ ทำให้ครอบครัวมั่นใจในการต่อสู้คดีการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ มากขึ้น เพราะแสดงให้เห็นถึงมูลเหตุจูงใจว่าสาเหตุการเสียชีวิตมาจากการโอนหุ้นมูลค่ามหาศาล หลังจากนี้ทีมทนายความจะคัดคำพิพากษา เพื่อไปยื่นต่อศาลจังหวัดพระโขนง เพื่อให้พิจารณาคดีการเสียชีวิต ของนายชูวงษ์ หลังจากที่มีการจำหน่ายคดีไว้
ส่วนหุ้นจำนวน 300 ล้านที่ถูกอายัดระหว่างดำเนินคดี ทางครอบครัวก็จะนำผลคำพิพากษาในคดีอาญาไปยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเพื่อให้ดำเนินการต่อไป
พร้อมกันนี้ นางวันเพ็ญ ยังได้กล่าวแสดงความเสียใจกับผู้พิพากษาอาวุโส ศาลอาญากรุงเทพใต้ เจ้าของสำนวนคดีคนก่อนหน้านี้ ที่ต้องสูญเสียพี่ชายจากการเข้ามารับผิดชอบคดี ขณะเดียวกันยังขอบคุณสื่อ ที่ติดตามคดีอย่างต่อเนื่องทำให้การวิ่งเต้นของฝ่ายจำเลยไม่สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายจำเลย ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นหลักทรัพย์ประกันตัว โดยในส่วนของนางสาวกัญฐณา หรือ น้ำตาล จำเลยที่ 1 ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดและที่ดินมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท
ภายหลังศาลพิพากษา ทนายความได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5ล้านบาทพร้อมที่ดินมูลค่าท 3ล้าน รวม 8 ล้านบาทขอประกันตัว น.ส.กัญฐนาต่อศาล เช่นเดียวกับ น.ส.อุรชา ยื่นหลักทรัพย์ ๓ ล้านบาท ขอปล่อยตัวชั่วคราว แต่ศาลพิจารณาแล้ว เห็นควรส่งให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวและมีคำสั่งว่าจะให้ประกันหรือไม่ต่อไป ก่อนส่งตัวจำเลยทั้ง 2 ไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลางระหว่างรอฟังคำสั่งประกันจากศาลอุทธรณ์ก่อน.-สำนักข่าวไทย