กทม. 14 มี.ค. – นักไวรัสวิทยา ไบโอเทค เสนอนวัตกรรมใช้แสง UV ฆ่าไวรัสโควิด-19 บนหน้ากากอนามัย เป็นทางเลือกให้บุคลากรทางการแพทย์ในยุควิกฤติขาดแคลนหน้ากากอนามัย หลังทำการทดสอบพบว่าแสง UV สามารถฆ่าไวรัสโควิด-19 ได้ผลดี
ในสถานการณ์ที่ทุกคนหวาดกลัวการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แห่ซื้อหน้ากากอนามัย และมีการกักตุน โก่งราคาสูงขึ้นนับ10 เท่า ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์ ด่านหน้าที่เผชิญกับเชื้อโรค ขาดแคลนหน้ากากอนามัยไปด้วย จนโรงพยาบาลหลายแห่งต้องออกมาชี้แจงว่ากำลังเดือดร้อนเข้าขั้นวิกฤติ
ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยาที่ศึกษาวิจัยโคโรนาไวรัสมากว่า 10 ปี ได้ทดลองนำหน้ากากอนามัยที่ใช้งานแล้วมาฆ่าเชื้อไวรัสด้วยแสงยูวี โดยตัดหน้ากากออกเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก วางในจานเพาะเชื้อ จากนั้นก็นำเชื้อไวรัสโคโรนาที่สร้างขึ้นเองในห้องปฏิบัติการ มาผสมกับสารอาหารเลี้ยงเซลล์ ฉีดลงบนหน้ากากอนามัยที่อยู่ในจานเพาะเชื้อ แล้วนำไปฆ่าเชื้อด้วยแสงยูวี ประมาณ 30 นาที เมื่อเสร็จแล้วนำมาผสมกับสารอาหารเลี้ยงเซลล์อีกครั้ง ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิห้อง 4 องศาฯ เพื่อสกัดไวรัสที่หลงเหลืออยู่ให้ออกมาจากพื้นผิวของหน้ากากอนามัย ก่อนนำไปใส่ในเซลล์ใหม่ เมื่อส่องกล้องดูปรากฏว่า พบแต่เซลล์เรืองแสงสีน้ำเงินล้วน ไม่มีเซลล์สีแดง ซึ่งหมายถึงตัวไวรัสโคโรนาหลงเหลืออยู่
สำหรับไวรัสโคโรนาที่นำมาใช้ เป็นไวรัสโคโรนาจากสุกร ไม่ติดเชื้อในคน มีความปลอดภัย ใช้ทดลองได้ในห้องปฏิบัติการทั่วไป และอยู่ในตระกูลเดียวกับเชื้อโควิด-19 สามารถใช้แสงยูวีฆ่าเชื้อได้ผลเหมือนกัน
การนำหน้ากากอนามัยกลับมาใช้ใหม่ด้วยวิธีการนี้ ดร.ดร.อนันต์ ยืนยันว่ามีความปลอดภัยกว่าการฉีดทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ การใช้ความร้อน หรือการนำไปซัก ซึ่งอาจทำให้วัสดุเสื่อมสภาพและสุ่มเสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรีย นี่จึงเป็นอีกทางเลือกสำหรับบุคลากรทางแพทย์ที่ไม่ได้ป่วย หรือต้องสัมผัสกับเชื้อโควิด-19 โดยตรง ทั้งนี้ หากกังวลว่าความเข้มของแสงยูวีทางการแพทย์อ่อนไป ก็ควรเพิ่มเวลาในการฆ่าเชื้อให้นานขึ้นจาก 30 นาที เป็น 1 ชั่วโมง เพียงเท่านี้ก็สามารถนำหน้ากากอนามัยกลับมาใช้ใหม่ได้แล้ว
ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า จะเร่งกระจายหน้ากาก N95 ให้กับโรงพยาบาลในสังกัดวันนี้ 40,000 ชิ้น และเตรียมนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 1 ล้านชิ้น เช่นเดียวกับหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ที่จะนำเข้าอีก 180 ล้านชิ้น พร้อมกับชุดป้องกัน PPE อีก 100,000 ชุด เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการในการควบคุมป้องกันโรค. – สำนักข่าวไทย