กทม.10 มี.ค.-นศ.ถูกนำบัตรประชาชนไปใช้ส่งยา ขอบคุณ ผบช.น.ช่วยเหลือจนพ้นผิด พร้อมเตรียมฟ้องละเมิด บ.ส่งพัสดุเอกชนชื่อดัง
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พานายปรเมศร์ สุรวิชัยนันท์ อายุ 20 ปี นักศึกษาสถาบันแห่งหนึ่งและครอบครัว เข้าแสดงความขอบคุณพลตำรวจโทภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น ให้การช่วยเหลือจนพ้นความผิดจากตกเป็นเหยื่อแก๊งยาเสพติด นำบัตรประชาชนที่ทำหายไปใช้ลงทะเบียนส่งยาเสพติดกับบริษัทส่งพัสดุเอกชนชื่อดัง จนถูกดำเนินคดีติดคุกนาน 35 วัน
นายปรเมศร์ ผู้เสียหาย เล่าว่า ก่อนหน้านี้เรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านสามเสน ได้ทำกระเป๋าสตางค์ตังหล่นหาย เมื่อปี 2561 แต่ยังไม่ได้ไปแจ้งความ เพราะต้องการไปแจ้งความตามภูมิลำเนาเพื่อทำบัตรประชาชนใหม่กระทั่งผ่านไป 1 ปี มีหมายเรียกจาก สภ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ให้ไปให้ปากคำ หลังมีชื่อเป็นผู้ส่งยาเสพติดและยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่าให้เอาหลักฐานมายืนยัน ขณะนั้นไม่มีหลักฐานที่จะยืนยันได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจึงถูกออกหมายจับดำเนินคดีอยู่ในเรือนจำ 35 วัน รู้สึกจิตใจย่ำแย่เนื่องจากไม่ได้ความผิดแต่ต้องมาถูกดำเนินคดี
ด้านนางวันวิสา มารดาผู้เสียหายเปิดเผยว่า ตกใจที่ลูกชายถูกดำเนินคดีเพราะยืนยันลูกไม่มีเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ขณะลูกอยู่ในเรือนจำ พยามหาหลักฐานทุกอย่างเพื่อนำมายืนยันว่าลูกไม่ได้เกี่ยวข้องกระทั่งเข้าขอความช่วยเหลือจากนายอัจฉริยะ นำหลักฐานมายื่นร้องต่อผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กระทั่งสามารถจับกุมผู้กระทำผิดตัวจริงได้ 2 คน ซึ่งให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุตัวจริง
ด้านนายอัจฉริยะ กล่าวว่า ทางบริษัทส่งพัสดุเอกชน เสนอเงิน 100,000 บาท ให้ผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายยืนยันจะฟ้องดำเนินคดีข้อหาละเมิด ทำให้ได้รับความเสียหาย เพราะมองว่าเป็นความบกพร่องของพนักงานขนส่งพัสดุ ที่ไม่ตรวจสอบบัตรประชาชนให้ตรงกับผู้ดำเนินการจัดส่ง ทำให้ผู้เสียหายต้องติดคุกนาน 35 วัน ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจมองว่าเป็นการทำหน้าที่ไปตามพยานหลักฐาน
ด้านพลตำรวจโทภัคพงศ์ ยอมรับว่า เป็นความผิดพลาดของกระบวนการสอบสวน ซึ่งเกิดตั้งแต่บริษัทส่งพัสดุ ยืนยันว่าผู้เสียหายเป็นคนส่งพัสดุที่ย่านหนองจอก และพนักงานสอบสวน สภ.ร่อนพิบูลย์ มีการแจ้งดำเนินคดี ตามหลักฐานการสอบปากคำผู้เกี่ยวข้อง และหลักฐาน กล่องพัสดุที่จ่าหน้าชื่อผู้เสียหายที่นำส่งยาเสพติดจำนวน 30 กล่องจากบริษัทส่งพัสดุ ย่านหนองจอก ไปหลายพื้นที่ของตำรวจภูธรภาค 8 เช่น นครศรีธรรมราช ระนอง ส่วนเรื่องการดำเนินการทางวินัย เป็นหน้าที่ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ที่จะพิจารณา ส่วนตำรวจนครบาลและชุดจับกุมจะเร่งขยายผลว่ามีประชาชนรายอื่นที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการนี้อีกหรือไม่ นอกจากนี้จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งบริษัทไปรษณีย์ บริษัทขนส่งเอกชน ธนาคารให้ตรวจสอบ บุคคลที่ไปติดต่อทำธุรกรรมให้รอบคอบ บัตรประชาชนที่ใช้เป็นหลักฐานไปแสดงต้องตรงกัน ป้องกันความเสียหาย.-สำนักข่าวไทย
