ภูมิภาค 5 มี.ค. – กลายเป็นกระแสที่สร้างความตื่นกลัวอย่างมากสำหรับชาวเชียงรายและเชียงใหม่ เมื่อแรงงานไทยที่ลักลอบไปทำงานที่เกาหลีที่เพิ่งกลับมาและโพสต์ภาพไปกิน-เที่ยวตามปกติ โดยไม่กักตัวเองเพื่อดูอาการติดเชื้อโควิด-19 จนสร้างความตื่นกลัว ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตามตัวหญิงสาวที่เชียงราย ซึ่งพาครอบครัวไปกินหมูกระทะ หลังกลับจากเกาหลีเพียง 1 วัน ให้เข้าสู่ระบบเฝ้าระวังแล้ว
หญิงสาวชาวเชียงรายคนนี้ เป็นหนึ่งในกลุ่มคนไทยที่ลักลอบไปทำงานในเกาหลี ที่เรียกกันว่าผีน้อย และเพิ่งกลับมาถึง จ.เชียงราย เมื่อวานนี้ (4 มี.ค.) ก่อนจะพาครอบครัวไปกินหมูกระทะ และโพสต์ภาพลงในเฟซบุ๊กของตัวเอง สร้างกระแสความตื่นกลัวโควิด-19 อย่างมาก จนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขติดตามตัวได้เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ตรวจสุขภาพเธอและครอบครัว พร้อมแนะนำให้กักตัวเองเฝ้าระวังโรค 14 วัน เพื่อความปลอดภัย
ในขณะที่ร้านหมูกระทะที่เธอและครอบครัวเข้าไปใช้บริการเมื่อคืนนี้ ปิดบริการ 1 วัน และเร่งทำความสะอาดโต๊ะ เก้าอี้ อุปกรณ์ทุกอย่าง เพื่อป้องกันและลดความตื่นกลัวของลูกค้า
เช่นเดียวกับร้านหม่าล่า จ.เชียงใหม่ ที่สาวผีน้อยอีกคนหนึ่งเพิ่งกลับจากเกาหลี โพสต์ภาพมานั่งกินดื่มเมื่อคืนที่ผ่านมา ต้องระดมพนักงานช่วยกันทำความสะอาดและจ้างบริษัทมาฉีดยาฆ่าเชื้อ รวมทั้งให้พนักงาน 2 คนที่ใกล้ชิดกับลูกค้าสาวรายนี้ พักงานไปก่อนเพื่อสังเกตอาการ
เจ้าของร้านยืนยันว่า ที่ผ่านมาทำความสะอาดทุกอย่างเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ แต่ยอมรับไม่สามารถคัดกรองลูกค้าได้ จึงวิงวอนขอให้ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ควรกักตัวเองเฝ้าระวังโรค เป็นการรับผิดชอบต่อสังคมและไม่ซ้ำเติมธุรกิจท่องเที่ยวด้วย
หญิงสาวที่เพิ่งกลับจากเกาหลีและใช้บริการที่ร้านหม่าล่า ยังโพสต์ภาพการไปเที่ยวในสถานบันเทิงแห่งหนึ่งอีกด้วย ท่ามกลางผู้ที่เข้าไปแสดงความเห็นตำหนิอย่างรุนแรงจนต้องปิดเฟซบุ๊กไป
ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ได้รับรายงานในเรื่องนี้และสั่งการให้เร่งติดตามตัวเพื่อเฝ้าระวังโรคแล้ว และให้จัดระบบการติดตามและเฝ้าระวังโรคให้เข้มข้นขึ้น
พบว่าปัญหาในการคัดกรองโรคโควิด-19 ในกลุ่มผีน้อยจากเกาหลีที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ยังไม่มีระบบตรวจสอบ ซึ่งต้องแร่งแก้ไขเพื่อให้เข้าสู่มาตรการกักโรคเฝ้าระวังด้วยตัวเอง 14 วัน ที่ จ.เชียงใหม่ จะให้ครอบครัว ท้องถิ่นและชุมชนเฝ้าระวังร่วมกัน พร้อมสร้างความเข้าใจไม่ตั้งข้อรังเกียจ นอกจากจะสร้างความขัดแย้งแล้ว ยังเสี่ยงที่จะทำให้มีการปกปิดข้อมูล นั่นยิ่งทำให้การเฝ้าระวังและสกัดโควิด-16 ในไทยยากยิ่งขึ้น . – สำนักข่าวไทย