นนทบุรี 4 ก.พ. – อธิบดีกรมการค้าภายในมั่นใจหน้ากากอนามัย เจลล้างมือจะมีเพียงพอต่อความต้องการ หลังดึงให้อยู่ในบัญชีควบคุมจัดระเบียบการซื้อ จำกัดส่งออกได้ของเพียงพอแน่ คาดปลายสัปดาห์นี้สินค้ากระจายไปจุดต่าง ๆ
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า วันนี้หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้หน้ากากอนามัย เส้นใยโพลีโพรพิลีน (สปันบอนด์) เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือเข้ามาอยู่ในบัญชีสินค้าควบคุมเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 แล้ว ทางกรมการค้าภายในจะออกคำสั่งคณะกรรมการว่าด้วยสินค้าและบริการ เพื่อกำหนดหลักปฎิบัติโดยทันที เพื่อใช้ควบคุมให้สินค้าชนิดนี้เข้ามาอยู่ในระบบอย่างเป็นปกติได้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม สาเหตุสำคัญที่ทำให้ปริมาณหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือขาดแคลนในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากมีการสั่งซื้อสินค้าจำนวนมาก เพื่อส่งออกไปประเทศที่กำลังประสบปัญหาโรคระบาด ทำให้ปริมาณสตอกการใช้หน้ากากอนามัยปกติเฉลี่ยต่อเดือน 30 ล้านชิ้น เพิ่มเป็น 40-50 ล้านชิ้น ซึ่งเกินความจำเป็น ทำให้คนไทยหาซื้อหน้ากากอนามัยในท้องตลาดไม่ได้ และร้านค้าบางร้านบางพื้นที่โก่งราคาจำหน่ายหน้ากากอนามัย ทำให้ราคาหน้ากากอนามัยสูงขึ้นกว่าปกติมาก ดังนั้น เมื่อดึงสินค้ากลุ่มนี้เข้าอยู่ในบัญชีสินค้าควบคุมอย่างเป็นทางการแล้วจะทำให้กรมการค้าภายในเข้าไปจัดระบบระเบียบแต่ละช่วงได้สะดวกมากขึ้น
ทั้งนี้ ภายใน 2-3 วันนี้ หลังจากประกาศสินค้ากลุ่มนี้อยู่ในบัญชีควบคุมแล้ว กรมการค้าภายในจะเป็นผู้ประสานผู้ผลิตและผู้นำเข้าหน้ากากอนามัยและผู้ผลิตเจลล้างมือให้เร่งนำสินค้าไปกระจายไปยังจุดต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาล แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ หน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้ผู้ประกอบการนำสินค้ามาเปิดจุดจำหน่ายสินค้าให้กับประชาชน และจะประสานขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อร่วมกันเปิดจุดจำหน่ายสินค้า โดยช่วงแรกอาจจะเน้นจำกัดการซื้อไม่เกินคนละกี่ชิ้นไปก่อน เพื่อให้สินค้ามีเพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวลว่าจะหาซื้อหน้ากากอนามัยไม่ได้ เพราะหากจำกัดการซื้อ ส่งออก และไม่ซื้อไปกักตุน เชื่อว่าสินค้าจะมีอย่างเพียงพอแน่นอน
“กรมฯ ขอเตือนผู้ที่ค้ากำไรเกินควรฉวยโอกาสโก่งราคาจำหน่ายหน้ากากอนามัยนั้น ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและล่อซื้อสินค้าทั้งตามร้านค้าและออนไลน์ หากขายเกินราคาเอาเปรียบมากเกินไปจะดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างแน่นอน ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้น ขอความร่วมมือประชาชนใครพบเห็นพฤติกรรมเอาเปรียบแจ้งสายด่วน 1569 ได้ทันที” นายวิชัย กล่าว .-สำนักข่าวไทย