กระทรวงการต่างประเทศ 4 ธ.ค.-ไทยได้รับเลือกเป็นสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก (World Heritage Committee) วาระปี ค.ศ. 2019-2023
น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ในห้วงการประชุมสมัชชารัฐภาคีอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก สมัยที่ 22 (22nd General Assembly of the State Parties to the World Heritage Convention “ WHC GA 22) ณ สำนักงานใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization – UNESCO) ประเทศไทยได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก (World Heritage Committee) วาระปี ค.ศ. 2019-2023 ในกลุ่ม IV (กลุ่มเอเชีย-แปซิฟิก) โดยได้รับคะแนนเสียง 156 เสียง จากจำนวนประเทศที่ลงคะแนนเสียงทั้งหมด 170ประเทศ ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งครั้งนี้
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า สำหรับประเทศอื่นที่ได้รับเลือกตั้งได้แก่ กลุ่ม V (a) (กลุ่มแอฟริกา) แอฟริกาใต้ (130 เสียง) ไนจีเรีย (128เสียง) และมาลี 118 เสียง กลุ่ม V (b) (กลุ่มอาหรับ) โอมาน (95เสียง) และในกลุ่มที่นั่งแบบเปิด (open seats) ประเทศที่ได้รับเลือกตั้งได้แก่ อียิปต์ (147เสียง) เอธิโอเปีย (125เสียง) รัสเซีย (110เสียง) ซาอุดีอาระเบีย (102เสียง) ทั้งนี้ ในการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติการแต่งตั้งให้นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส และเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำ UNESCO เป็นหัวหน้าคณะผู้แทน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
น.ส.บุษฎี กล่าวว่า คณะกรรมการมรดกโลก เป็น 1ใน 3 กลไกหลักภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ (Convention Concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage หรือ UNESCO Convention 1972 หรือ อนุสัญญามรดกโลก) ประกอบด้วยผู้แทนรัฐภาคีอนุสัญญาฯ 21ประเทศจากภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกที่ได้รับเลือกตั้งโดยที่ประชุมสมัชชารัฐภาคี มีหน้าที่หลักในการพิจารณาอนุมัติคำขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก ปรับลดสถานะมรดกโลกที่ขึ้นทะเบียนแล้วเป็นให้เป็นแหล่งในภาวะอันตราย และ/หรือ ถอดถอนสถานะมรดกโลกที่เสื่อมโทรมหรือได้รับความเสียหายรุนแรง พิจารณารายงานสถานภาพการอนุรักษ์มรดกโลก และบริหารจัดการเงินกองทุนมรดกโลก (World Heritage Fund) รวมถึงอนุมัติเงินสนับสนุนตามคำขอของรัฐภาคี
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การที่ไทยได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการมรดกโลกในปีที่ไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน และหลังจากที่ไทยเพิ่งได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารยูเนสโกเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่องของนานาประเทศต่อบทบาทที่แข็งขันของไทยในเวทีระหว่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและส่งเสริมบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศด้านการปกป้องคุ้มครองแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ ส่งเสริมความสัมพันธ์ ความร่วมมือและความช่วยเหลือในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ร่วมกับกรรมการมรดกโลก รัฐภาคี ศูนย์มรดกโลก (ฝ่ายเลขานุการของอนุสัญญาฯ) และองค์กรที่ปรึกษาภายใต้อนุสัญญาฯ รวมทั้งเป็นโอกาสอันดีที่ไทยสามารถเข้าไปมีส่วนร่วม เสนอแนะนโยบาย มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการดำเนินการตามอนุสัญญามรดกโลก
น.ส.บุษฎี กล่าวว่า ก่อนการได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ ไทยเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลกมาแล้ว 3 ครั้ง ได้แก่ วาระปี ค.ศ. 1989-1995 วาระปี ค.ศ. 1997-2003และวาระปี ค.ศ. 2009-2013อีกทั้งเคยเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 18 เมื่อปี 2537 ที่จังหวัดภูเก็ต
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า อนุสัญญามรดกโลกได้รับการรับรองในที่ประชุมสมัยสามัญของยูเนสโก ครั้งที่ 17เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2515 (ค.ศ. 1972) มีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์และสงวนรักษาความโดดเด่นทางธรรมชาติและวัฒนธรรมทั่วโลก เพื่อสืบทอดแก่ชนรุ่นหลัง ปัจจุบันมีรัฐภาคี 193ประเทศ โดยไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ 17กันยายน 2530 และปัจจุบันไทยมีแหล่งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว 5แหล่ง ได้แก่ เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร – ห้วยขาแข้ง แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง และพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น – เขาใหญ่ .-สำนักข่าวไทย